วันนี้ 5 กรกฎาคม 2566 เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย |
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ....
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสี โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชกำหนดการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร พ.ศ. 2566
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงสำมะโนหรือสำรวจตัวอย่างการเกษตร พ.ศ. ....
6. เรื่อง การปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการของหน่วยงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เศรษฐกิจ-สังคม |
7. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว
8. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณ งบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นสำหรับเบิกจ่ายโครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์ม เพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต๊อกน้ำมันปาล์ม งวดที่ 3 และงวดสุดท้าย
9. เรื่อง การนำที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะมาใช้ในโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกบริเวณหนองตาเหี่ยม ตำบลอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก
10. เรื่อง การจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร กรณีสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
11. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐของสำนักงาน กสม.
12. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป (เพิ่มเติม)
13. เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ต่างประเทศ |
14. เรื่อง ผลการประชุม The 1st Asia Zero Emission Community (AZEC) Ministerial Meeting
15. เรื่อง ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเร่งรัดการขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 2
16. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย-ตุรกี ครั้งที่ 4 และกิจกรรมคู่ขนาน
17. เรื่อง ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation: BIMSTEC) หรือบิมสเทค ครั้งที่ 19
18. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ปักกิ่งสำหรับการประชุมระดับสูงว่าด้วยการปฏิบัติการระดับโลกเพื่อการพัฒนาร่วมกัน ครั้งที่ 1
19. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารสุดท้าย (Draft Final Document) และร่างปฏิญญากรุงบากูของการประชุมคณะกรรมการประสานงานในระดับรัฐมนตรีของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Ministerial Meeting of the Coordinating Bureau of the Non-Aligned Movement: CoB-NAM)
แต่งตั้ง |
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ)
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับ ทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
25. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สาขาการเงิน ในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ
กฎหมาย |
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งข้าราชการระดับ 10 หรือระดับ 11 กรณีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ทส. เสนอว่า
1. สืบเนื่องจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเผชิญและรับมือกับปัญหาที่ตามมาทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อาทิ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของฤดูกาล การเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ทำให้เกิดความจำเป็นในการพัฒนาศักยภาพของประเทศเพื่อเตรียมรับกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ประกอบกับประเทศไทยต้องดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศต่าง ๆ เช่น กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พิธีสารเกียวโต และความตกลงปารีส เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ และความร่วมมือกับประชาคมโลกในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ได้แก่ เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG emission) ในปี ค.ศ. 2065
2. ทส. จึงได้ทบทวนและปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้สอดคล้องกับบริบททางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป และสอดรับกับทิศทางและข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยนำภารกิจของ “กองประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ มารวมกับภารกิจของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีการสร้างเครือข่ายความร่วมมือและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม และการศึกษา วิจัย พัฒนาสารสนเทศ องค์ความรู้และนวัตกรรมในการส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการสื่อสารและเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงองค์ความรู้และสารสนเทศสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่ออัตรากำลังของหน่วยงาน แล้วปรับปรุงหน้าที่และอำนาจ และเปลี่ยนชื่อ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็น “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” (Department of Climate Change and Environment) และได้รายงานว่าคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (20 ธันวาคม 2565) รับทราบแล้ว แต่โดยที่มาตรา 8 ตรี วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543 บัญญัติให้การเปลี่ยนชื่อส่วนราชการให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ทส. จึงได้จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ....
3. ในคราวประชุมคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างระบบราชการ ทส. ครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบคำชี้แจงประกอบการขอปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมและเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมเป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... โดยให้นำเสนอต่อสำนักงาน ก.พ.ร. ต่อไป และในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 4/2565 วันที่ 7 ธันวาคม 2565 ที่ประชุมรับทราบการจัดตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการ
4. ในคราวประชุมคณะกรรมการ ก.พ.ร. ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ประชุมมีมติ ดังนี้
4.1 เห็นชอบการเปลี่ยนชื่อ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็น “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” (Department of ClimateChange and Environment) และเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ....
4.2 เห็นชอบการปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการหน่วยงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ทส. และการกำหนดตัวชี้วัดสำคัญ เพื่อวัดความสำเร็จการปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการใหม่ และเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ทั้งนี้ การปรับปรุงโครงสร้างฯ และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการฯ ให้มีผลเมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับ
5. ทส. ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การจัดตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นการตัดโอนกองประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปสังกัดกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยตัดโอนทั้งภารกิจ อัตรากำลังและงบประมาณในคราวเดียวกัน เป็นการปรับปรุงโครงสร้างโดยไม่เพิ่มจำนวนกองและอัตรากำลังในภาพรวมของ ทส. และมีการดำเนินการร่วมกันระหว่างส่วนราชการและหน่วยงานกลางที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณ (สงป.) ซึ่งการดำเนินการเรื่องดังกล่าวเป็นไปโดยสอดคล้องกับมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เปลี่ยนชื่อ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็น กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยตัดโอนกองประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาสังกัดด้วย โดยโอนทั้งภารกิจอัตรากำลัง และงบประมาณ
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่กระทรวงการคลังเสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง พ.ศ. 2561 เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง กรณีสัดส่วนการถือหุ้นของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจในรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทที่เป็นนิติบุคคลในเครือของหน่วยงานของรัฐเดียวกัน จากเดิม “ไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนทั้งหมด” เป็น “ไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด” เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ จากรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทที่เป็นนิติบุคคลในเครือของหน่วยงานเดียวกันมีความโปร่งใสมากขึ้น โดยเมื่อเพิ่มอัตราร้อยละการถือหุ้นแล้วจะช่วยลดการใช้ช่องว่างทางกฎหมายเพื่อจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีเฉพาะเจาะจงกับรัฐวิสาหกิจที่ถือหุ้นอยู่หรือกับนิติบุคคลที่เป็นบริษัทในเครือ (จากเดิมถือหุ้นร้อยละยี่สิบห้าของทุนทั้งหมดก็สามารถจ้างรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทในเครือด้วยวิธีการเฉพาะเจาะจงได้ ซึ่งเมื่อแก้ไขกฎหมายแล้วจะไม่สามารถจ้างรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทเดิมด้วยวิธีการเฉพาะเจาะจงได้อีก ต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไปหรือวิธีคัดเลือกอันจะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการภายนอกเข้าแข่งขันได้ด้วย) ประกอบกับคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐเห็นชอบด้วยแล้ว รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบด้วยในหลักการ ประกอบกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าเรื่องนี้มิได้เป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรีกระทำการอันเป็นอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกผันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปตามมาตรา 169 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2566 เรื่อง แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้เพิ่มอัตราร้อยละในการถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคล ตามข้อ 2 (4) (ก) จากเดิม “ไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนทั้งหมด” เป็น “ไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด”
เงื่อนไขเดิม | เงื่อนไขใหม่ |
(ก) รัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคลที่มีหน่วยงานของรัฐถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนรวมอยู่ด้วยในรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคลนั้นไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนทั้งหมดหรือไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของทุนทั้งหมดและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด | (ก) รัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคลที่มีหน่วยงานของรัฐถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนรวมอยู่ด้วยในรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคลนั้นไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมดหรือไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมดและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด |
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสี โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสี โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ เป็นการยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูกต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. 2563 (ตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 50 - 2561) และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อนขึ้นใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมการทำเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นแผ่นม้วนความกว้างน้อยกว่า 600 มิลลิเมตร สำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีประเภทอื่นที่เคยอยู่ใน มาตรฐานเลขที่ มอก. 50 - 2561 เช่น เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นแผ่นลูกฟูกที่มีความหนาไม่น้อยกว่า 0.11 มิลลิเมตร ชนิดแผ่นลูกฟูกลอนใหญ่ที่มีระยะระหว่างลอน 76 มิลลิเมตร ความสูงของลอน 18 มิลลิเมตร และชนิดแผ่นลูกฟูกลอนเล็กที่มีระยะระหว่างลอน 32 มิลลิเมตร ความสูงของลอน 9 มิลลิเมตร ยังคงเหมือนเดิม ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดตามมาตรฐานอ้างอิงที่มีการปรับปรุงใหม่ รวมทั้งเป็นการรองรับการพัฒนาเทคโนโลยีการทำและการใช้งานภายในประเทศอย่างทั่วถึง ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว ประกอบกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าการเสนอร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเป็นไปตามเงื่อนไข ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเป็นการกำหนดรายละเอียดการปฏิบัติให้เป็นไปตามที่กฎหมายแม่บทให้อำนาจไว้ ซึ่งสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2566 (เรื่อง แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร)
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 50 - 2565 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 6867 (พ.ศ. 2565) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565
2. กำหนดให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสองร้อยเจ็บสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชกำหนดการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร พ.ศ. 2566
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชกำหนดการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร พ.ศ. 2566 ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
2. ให้ กค. แจ้งองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Cooperation and Development : OECD) เพื่อให้ความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ (Multilateral Competent Authority Agreement on Automatic Exchange of Financial Account Information : MCAA CRS) มีผลผูกพัน เมื่อร่างกฎกระทรวงฯ และกฎหมายลำดับรองฉบับอื่น ๆ ของพระราชกำหนดการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร พ.ศ. 2566 มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับหน้าที่ของผู้มีหน้าที่รายงานข้อมูลบัญชีทางการเงินที่เป็นสถาบันการเงินในประเทศไทย ซึ่งต้องดำเนินการตามพระราชกำหนดการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร พ.ศ. 2566 แบ่งเป็น 6 ลักษณะ ได้แก่ 1) ผู้มีหน้าที่รายงาน 2) การตรวจสอบบัญชีกรณีทั่วไป 3) การตรวจสอบบัญชีของบุคคลธรรมดา 4) การตรวจสอบบัญชีของนิติบุคคล 5) หลักเกณฑ์พิเศษสำหรับการตรวจสอบข้อมูลลูกค้า และ 6) เบ็ดเตล็ด สรุปสาระสำคัญดังนี้
หัวข้อ | รายละเอียด |
คำนิยาม (ร่างข้อ 1) | กำหนดคำนิยาม เช่น - “นิติบุคคล” หมายความว่า นิติบุคคลตามกฎหมายหรือหน่วยที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วน กองทรัสต์ หรือมูลนิธิ - “สถาบันการเงิน” หมายความว่า สถาบันผู้รับฝากสินทรัพย์ สถาบันรับฝากเงิน นิติบุคคลที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการลงทุน หรือบริษัทประกันที่กำหนด - “สถาบันรับฝากเงิน” หมายความว่า นิติบุคคลใด ๆ ที่รับฝากเงินเป็นปกติธุระในลักษณะของธุรกิจธนาคารหรือธุรกิจอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน - “บัญชีทางการเงิน” หมายความว่า บัญชีที่อยู่ภายใต้การดูแล เก็บรักษาของสถาบันการเงิน - “บัญชีเงินฝาก” หมายความว่า บัญชีทางพาณิชย์ บัญชีกระแสรายวัน บัญชีออมทรัพย์ บัญชีฝากประจำ บัตรเงินฝาก เอกสารรับรองการลงทุน ตราสารหนี้ หรือตราสารอื่นที่มีลักษณะเดียวกันที่เก็บรักษาโดยสถาบันการเงินตามธุรกรรมทั่วไปที่ธนาคารหรือธุรกิจที่มีลักษณะเดียวกันดำเนินการ - “บัญชีทางการเงินที่ต้องถูกรายงาน” หมายถึงบัญชีทางการเงินที่อยู่ภายใต้การดูแล เก็บรักษาของผู้มีหน้าที่รายงานที่เป็นสถาบันการเงิน ซึ่งถูกถือโดยผู้ที่ต้องถูกรายงานรายเดียวหรือหลายราย ซึ่งมีผู้มีอำนาจควบคุมรายเดียวหรือหลายรายเป็นผู้ที่ต้องถูกรายงาน ทั้งนี้ ตามที่ได้ถูกบ่งชี้ว่าเป็นบัญชีทางการเงินที่ต้องถูกรายงานภายใต้กระบวนการตรวจสอบบัญชีทางการเงินตามกฎกระทรวงนี้ - “เลขประจำตัวผู้เสียภาษี” หมายถึง เลขประจำตัวของผู้เสียภาษี หรือสิ่งที่ใช้แทนในกรณีที่ไม่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี |
1) ผู้มีหน้าที่รายงาน | |
หัวข้อ | รายละเอียด |
ผู้มีหน้าที่รายงานที่เป็นสถาบันการเงินในประเทศไทยและสถาบันการเงินที่ไม่มีหน้าที่รายงาน (ร่างข้อ 2 - ข้อ 3) | กำหนดสถาบันการเงินที่มีหน้าที่รายงาน ดังนี้ 1) สถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้กฎหมายไทยแต่ไม่รวมถึงสาขาของสถาบันการเงินดังกล่าวที่ตั้งอยู่นอกดินแดนของประเทศไทย เช่น ธนาคารพาณิชย์ของไทย (ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย) 2) สาขาของสถาบันการเงินที่มิได้อยู่ภายใต้กฎหมายไทย แต่สาขาของสถาบันการเงินนั้นตั้งอยู่ในประเทศไทย เช่น ธนาคาร Citibank ธนาคารฮ่องกง และเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด (HSBC) เป็นผู้มีหน้าที่รายงานที่เป็นสถาบันการเงินในประเทศไทยมีหน้าที่ต้องตรวจสอบบัญชีซึ่งเป็นบัญชีทางการเงินที่ต้องถูกรายงานตามกระบวนการตรวจสอบที่กำหนดในกฎกระทรวงนี้ กำหนดสถาบันการเงินที่ไม่มีหน้าที่รายงาน เช่น 1) หน่วยงานของรัฐบาล องค์การระหว่างประเทศหรือธนาคารกลางในกรณีที่นอกเหนือจากการจ่ายเงินตามหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเงินเพื่อทางค้าหรือหากำไรประเภทที่ดำเนินการโดยบริษัทประกันภัยที่กำหนด สถาบันรับฝากสินทรัพย์ หรือสถาบันรับฝากเงิน 2) กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพที่มีผู้เข้าร่วมในวงกว้างและวงแคบซึ่งเป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ผลประโยชน์จากการเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต หรือหลายอย่างประกอบกันแก่ผู้รับผลประโยชน์ที่เป็นลูกจ้างในปัจจุบันหรือในอดีต หรือบุคคลที่ลูกจ้างดังกล่าวระบุให้ได้รับผลประโยชน์ของนายจ้างอย่างน้อยหนึ่งรายเพื่อตอบแทนการทำงาน 3) กองทุนบำเหน็จบำนาญของข้าราชการขององค์การระหว่างประเทศ หรือของธนาคารกลางหรือผู้ออกบัตรเครดิตที่มีคุณสมบัติซึ่งเป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นโดยหน่วยงานของรัฐบาล องค์การระหว่างประเทศ หรือธนาคารกลาง |
2) การตรวจสอบบัญชีกรณีทั่วไป | |
หัวข้อ | รายละเอียด |
หลักเกณฑ์การตรวจสอบบัญชีกรณีทั่วไป (ร่างข้อ 4 - ข้อ 9) | กำหนดคำนิยามคำว่า - “บัญชีที่มีอยู่” หมายความว่า บัญชีทางการเงินที่ผู้มีหน้าที่รายงานที่เป็นสถาบันการเงินในประเทศไทยดูแล เก็บรักษา ซึ่งถูกเปิดก่อนวันที่กฎกระทรวงมีผลใช้บังคับ - “บัญชีใหม่” หมายความว่า บัญชีทางการเงินที่ผู้มีหน้าที่รายงานที่เป็นสถาบันการเงินในประเทศไทยดูแล เก็บรักษา ซึ่งถูกเปิดในหรือหลังวันที่กฎกระทรวงมีผลใช้บังคับ กำหนดให้ผู้มีหน้าที่รายงานที่เป็นสถาบันการเงินต้องจัดทำ เก็บรักษา และบันทึกเกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบบัญชีทางการเงินที่ต้องถูกรายงานซึ่งถูกเก็บรักษาโดยผู้มีหน้าที่รายงานที่เป็นสถาบันการเงิน กำหนดให้ผู้มีหน้าที่รายงานที่เป็นสถาบันการเงินให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบัญชีทางการเงินที่ต้องถูกรายงานตามพระราชกำหนดการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร พ.ศ. 2566 กำหนดให้ผู้มีหน้าที่รายงานที่เป็นสถาบันการเงินพิจารณายอดคงเหลือหรือมูลค่าในบัญชี ณ วันสุดท้ายของปีปฏิทิน |
3) การตรวจสอบบัญชีของบุคคลธรรมดา | |
หัวข้อ | รายละเอียด |
หลักเกณฑ์การตรวจสอบบัญชีของบุคคลธรรมดา (ร่างข้อ 10 - ข้อ 35) | กำหนดคำนิยามคำว่า - “บัญชีที่มีอยู่ของบุคคลธรรมดา” และ “บัญชีใหม่ของบุคคลธรรมดา” หมายความว่า บัญชีที่มีอยู่/บัญชีใหม่ ซึ่งถือโดยบุคคลธรรมดารายเดียวหรือหลายราย - “บัญชีที่มีมูลค่าต่ำ” หมายความว่า บัญชีที่มีอยู่ของบุคคลธรรมดาซึ่งมียอดรวมหรือมูลค่ารวมไม่เกิน 30 ล้านบาท 1) ณ วันที่ 31 ธ.ค. 65 2) ณ วันก่อนวันที่กฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ - “บัญชีที่มีมูลค่าสูง” หมายความว่า บัญชีที่มีอยู่ของบุคคลธรรมดาซึ่งมียอดรวมหรือมูลค่ารวม เกิน 30 ล้านบาท 1) ณ วันที่ 31 ธ.ค. 65 2) ณ วันก่อนวันที่กฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ 3) ณ วันที่ 31 ธ.ค. ของปีถัดมา กำหนดให้บัญชีที่มีอยู่ของบุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นบัญชีทางการเงินที่ต้องถูกรายงานตามที่กำหนด เป็นบัญชีทางการเงินที่ต้องถูกรายงานในปีต่อ ๆ ไป เว้นแต่ผู้ถือบัญชีดังกล่าวจะสิ้นสุดการเป็นผู้ต้องถูกรายงาน กำหนดให้ผู้มีหน้าที่รายงานที่เป็นสถาบันการเงินต้องดำเนินกระบวนการตรวจสอบบัญชีที่มีมูลค่าต่ำและบัญชีที่มีมูลค่าสูงตามที่กำหนด เช่น ตรวจสอบข้อมูลจากการสืบค้นข้อมูลในระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ตนเก็บรักษาไว้ กำหนดให้ผู้มีหน้าที่รายงานที่เป็นสถาบันการเงินต้องดำเนินกระบวนการตวรจสอบบัญชีใหม่ของบุคคลธรรมดาตามที่กำหนด เช่น เมื่อมีการเปิดบัญชีใหม่ ให้ผู้มีหน้าที่รายงานที่เป็นสถาบันการเงินจัดให้ได้มาซึ่งเอกสาร การรับรองตนเองซึ่งอาจกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของเอกสารประกอบการเปิดบัญชี เพื่อทำให้ผู้มีหน้าที่รายงานสามารถพิจารณาถิ่นที่อยู่ทางภาษีอากรของผู้ถือบัญชีได้ |
4) การตรวจสอบบัญชีของนิติบุคคล | |
หัวข้อ | รายละเอียด |
หลักเกณฑ์การตรวจสอบบัญชีของนิติบุคคล (ร่างข้อ 36 - ข้อ 39) | กำหนดคำนิยามคำว่า - “บัญชีที่มีอยู่ของนิติบุคคล” หมายความว่าบัญชีที่มีอยู่ซึ่งถือโดยนิติบุคคลรายเดียวหรือหลายรอบ - “บัญชีใหม่ของนิติบุคคล” หมายความว่าบัญชีใหม่ที่ถือโดยนิติบุคคลรายเดียวหรือหลายราย กำหนดให้ผู้มีหน้าที่รายงานที่เป็นสถาบันการเงินต้องดำเนินกระบวนการตรวจสอบบัญชีที่มีอยู่ของนิติบุคคล ตามที่กำหนด เช่น 1) บัญชีที่มีอยู่ของนิติบุคคลที่มียอดเงินรวมหรือมูลค่ารวมในบัญชีไม่เกิน 7 ล้าน 5 แสนบาท ณ วันที่ 31 ธ.ค. 65 หรือ ณ วันที่ก่อนกฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ ให้ผู้มีหน้าที่รายงานสามารถเลือกที่จะไม่ตรวจสอบ หรือรายงานบัญชีที่ต้องถูกรายงานก็ได้ จนกว่าบัญชีดังกล่าวจะมียอดเงินรวมหรือมูลค่ารวมในบัญชีเกินกว่า 7 ล้าน 5 แสนบาท ณ วันสุดท้ายของปีปฏิทินถัดไปใด ๆ 2) บัญชีที่มีอยู่ของนิติบุคคลซึ่งมียอดเงินรวมหรือมีมูลค่ารวมในบัญชีเกินกว่า 7 ล้าน 5 แสนบาท ณ วันที่ 31 ธ.ค. 65 หรือ ณ วันก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ /บัญชีตาม 1) และ ต่อมามียอดเงินรวมหรือมูลค่ารวมในบัญชี เกินกว่า 7 ล้าน 5 แสนบาท ณ วันสุดท้ายของปีปฏิทินถัดไปเป็นบัญชีที่ต้องถูกตรวจสอบ |
5) หลักเกณฑ์พิเศษสำหรับการตรวจสอบข้อมูลลูกค้า | |
หัวข้อ | รายละเอียด |
กระบวนการตรวจสอบเพิ่มเติม นอกเหนือจากกระบวนการตรวจสอบที่กำหนด (ร่างข้อ 52) | การคำนวณหายอดเงินรวมหรือมูลค่ารวมในบัญชีทางการเงินของนิติบุคคล ให้ผู้มีหน้าที่รายงานที่เป็นสถาบันการเงินต้องพิจารณาบัญชีทางการเงินทั้งหมดที่อยู่ในการดูแล เก็บรักษาของตน หรือที่อยู่ในการดูแลเก็บรักษาของนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันกับตนเฉพาะเท่าที่ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้มีหน้าที่รายงานสามารถเชื่อมโยงไปถึงบัญชีทางการเงิน เช่น เลขประจำตัวของลูกค้า หรือเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ถือบัญชี และให้รวมยอดเงินรวมหรือมูลค่ารวมดังกล่าวเข้าด้วยกัน |
6) เบ็ดเตล็ด | |
หัวข้อ | รายละเอียด |
วันใช้บังคับ (ร่างข้อ 59) | ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป |
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องแล้วซึ่งผู้แสดงความเห็นไม่ได้คัดค้านในหลักการของร่างกฎกระทรวงดังกล่าว และกระทรวงการคลังรายงานว่า ร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐ เนื่องจากไม่มีงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมในการดำเนินการตามร่างกฎกระทรวงฯ และสามารถใช้บุคลากรเจ้าหน้าที่ที่มีอยู่เพื่อรองรับการปฏิบัติหน้าที่ตามร่างกฎกระทรวงฯ ในขั้นต้นได้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทยสามารถดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศตามความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีทางการเงินแบบอัตโนมัติ (MCAA CAS) ได้ และช่วยให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติให้แก่ผู้มีหน้าที่รายงานที่เป็นสถาบันการเงินในประเทศไทย อันจะช่วยลดเวลาและต้นทุนทางธุรกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีอากร และลดปัญหาการหลบหลีกหรือหลีกเลี่ยงภาษีอากร ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตรวจสอบภาษีมากขึ้น
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงสำมะโนหรือสำรวจตัวอย่างการเกษตร พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงสำมะโนหรือสำรวจตัวอย่างการเกษตร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดส.) เสนอและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอเนื่องมาจากสำนักงานสถิติแห่งชาติได้จัดทำการจัดทำสำมะโนการเกษตรของประเทศไทยมาแล้ว 6 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2493 ครั้งต่อมาจัดทำเมื่อ พ.ศ. 2506 พ.ศ. 2521 พ.ศ. 2536 พ.ศ. 2546 และ พ.ศ. 2556 ปัจจุบันครบกำหนดเวลาการจัดทำสำมะโนการเกษตรครั้งต่อไปใน พ.ศ. 2566 จึงต้องดำเนินการออกกฎกระทรวงตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติสถิติ พ.ศ. 2550 ซึ่งบัญญัติให้เมื่อหน่วยงานจะมีการจัดทำสำมะโนหรือการสำรวจตัวอย่างที่ประสงค์จะกำหนดให้เป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องให้ข้อมูล ให้กำหนดโดยกฎกระทรวงเพื่อกำหนดให้มีการทำสำมะโนหรือสำรวจตัวอย่างการเกษตรทั่วราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2566 (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 - 2576) เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทำการเกษตรจากผู้ถือครองทำการเกษตรทุกรายในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งที่มีอยู่ในทะเบียนเกษตรกรและนอกทะเบียนเกษตรกร โดยให้สำนักงานสถิติแห่งชาติทำการสำรวจตัวอย่างการเกษตรเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทำการเกษตรจากผู้ถือครองทำการเกษตรทุกรายในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งที่มีอยู่ในทะเบียนเกษตรกรและนอกทะเบียนเกษตรกร ให้มีชุดข้อมูลพื้นฐานด้านการเกษตรเพื่อใช้ประโยชน์อย่างเพียงพอ สำหรับการวางแผนเฝ้าระวัง ติดตาม และประเมินผล การพัฒนาประเทศด้านการเกษตร พัฒนาคุณภาพชีวิตประชากรในภาคการเกษตร ใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการกำหนดนโยบาย มาตรการในการช่วยเหลือเกษตรกร ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำไปใช้วิเคราะห์และประมวลผลผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมนำไปใช้วิเคราะห์สถานการณ์ SMEs ในธุรกิจด้านการเกษตร รวมทั้งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้ เช่น ใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการกำหนดนโยบายด้านการเกษตร ใช้ข้อมูลประกอบการพิจารณาการทำเกษตรกรรม เพื่อส่งเสริมโครงการพัฒนาและฝึกอบรมเกษตรกรใช้ประกอบการพิจารณาสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่เพื่อเพิ่มศักยภาพพ ประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตรใช้ในการรับรองลักษณะมาตรฐานการผลิตพืช (GAP) และเกษตรอินทรีย์ และใช้ประกอบการวิเคราะห์ระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นว่า ควรปรับปรุงนิยาม “การเกษตร” ให้หมายความว่า การปลูกพืช การเลี้ยงสัตว์ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การทำการประมงและการทำนาเกลือสมุทร และปรับถ้อยคำในสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฯ บางประการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมควรประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการพิจารณารายละเอียดของข้อมูลทะเบียนเกษตรกรเพื่อให้ได้ข้อมูลที่สะท้อนถึงสถานการณ์และข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ให้สามารถเชื่อมโยงและสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของแผนระดับชาติและกรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้มิได้เป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรีกระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป จึงไม่ขัดหรือแย้งกับมาตรา 169 (1) ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยและแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2566 ที่กำหนดให้การเสนอร่างกฎกระทรวงซึ่งเป็นการกำหนดรายละเอียดการปฏิบัติให้เป็นไปตามที่กฎหมายแม่บทให้อำนาจไว้ ย่อมดำเนินการได้ตามปกติ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้มีการทำสำมะโนหรือสำรวจตัวอย่างการเกษตรทั่วราชอาณาจักร เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทำการเกษตรจากผู้ถือครองทำการเกษตรทุกรายในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งที่มีอยู่ในทะเบียนเกษตรกรและนอกทะเบียนเกษตรกร ดังนี้
1. กฎกระทรวงนี้ มีอายุ 10 ปี
2. กำหนดบทนิยาม ดังนี้
2.1 “การเกษตร” หมายความว่า การปลูกพืช การเลี้ยงสัตว์ การเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด การทำนาเกลือสมุทร การทำประมงน้ำจืด การทำประมงทะเล และการเพาะเลี้ยงชายฝั่ง
2.2 “ผู้ถือครองทำการเกษตร” หมายความว่า บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งควบคุม จัดการ และมีอำนาจตัดสินใจ เกี่ยวกับการทำการเกษตรในที่ดินที่ตนถือครองไม่ว่าจะโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ รวมทั้งเป็นผู้รับผิดชอบทั้งด้านเทคนิคและด้านการเงินในการทำการเกษตร ทั้งนี้ ต้องเป็นผู้ถือครองทำการเกษตร ณ วันสำมะโน
2.3 “หัวหน้าครัวเรือน” หมายความว่า สมาชิกในครัวเรือนคนใดคนหนึ่งซึ่งได้รับการยอมรับนับถือหรือยกย่องจากสมาชิกในครัวเรือนคนอื่นให้เป็นหัวหน้าครัวเรือน
3. กำหนดให้สำนักงานสถิติแห่งชาติทำสำมะโนหรือสำรวจตัวอย่างการเกษตรเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทำการเกษตร เพื่อใช้สำหรับการวางแผน กำหนดนโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจด้านการเกษตรในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น และใช้ในการติดตามประเมินผลการพัฒนาประเทศ และเป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบจัดทำสำมะโนหรือสำรวจตัวอย่างการเกษตรตามกฎกระทรวงนี้
4. กำหนดเขตท้องที่ที่จัดทำสำมะโนหรือสำรวจตัวอย่างการเกษตร ได้แก่ ทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
5. กำหนดให้ผู้ถือครองทำการเกษตรหรือหัวหน้าครัวเรือนที่อยู่ในเขตท้องที่ตามข้อ 4 เป็นผู้ให้ข้อมูลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ โดยการให้สัมภาษณ์หรือด้วยวิธีการอื่นตามที่ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติประกาศกำหนด
6. กำหนดให้นำข้อมูลผู้ถือครองทำการเกษตรจากทะเบียนเกษตรกรจากหน่วยงานของรัฐและจากสำมะโนการเกษตรในครั้งก่อน มาใช้เป็นฐานข้อมูลตั้งต้นในการจัดทำแทนการนับจดรูปแบบเดิม และนับจดเพิ่มเติม สำหรับผู้ถือครองทำการเกษตรที่ไม่มีข้อมูลในฐานข้อมูลดังกล่าว
6. เรื่อง การปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการของหน่วยงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมเป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พศ. .... มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... เป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการปรับปรุงหน้าที่และอำนาจ และเปลี่ยนชื่อ “กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม” เป็น “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” ดังนี้
การแบ่งส่วนราชการ | ||
ปัจจุบัน | ใหม่ | หมายเหตุ |
(2 กลุ่ม 2 ศูนย์ 1 สำนัก และ 3 กอง) กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.) - กลุ่มตรวจสอบภายใน - กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร - สำนักงานเลขานุการกรม | (2 กลุ่ม 2 ศูนย์ 1 สำนัก และ 4 กอง) กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม - กลุ่มตรวจสอบภายใน - กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร - สำนักงานเลขานุการกรม | คงเดิม |
- ศูนย์สารสนเทศสิ่งแวดล้อม - กองส่งเสริมและเผยแพร่ - ศูนย์วิจัยและฝึกอบรม ด้านสิ่งแวดล้อม - กองส่งเสริมการมีส่วนร่วมของ ประชาชน สำนักงานนโยบายและแผน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) - กองประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | กองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ | เปลี่ยนชื่อศูนย์สารสนเทศสิ่งแวดล้อมเป็น “กองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ” และปรับปรุงหน้าที่และอำนาจ โดยนำภารกิจด้านการศึกษา วิเคราะห์ ประมวลผลข้อมูล การติดตาม และรายงาน สถานการณ์ของศูนย์สารสนเทศสิ่งแวดล้อม รวมกับกองประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (สผ.) |
กองขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก | ปรับปรุงหน้าที่และอำนาจ และการกิจของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมกับกองประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภู มิ อากาศ (สผ.) เป็น “กองขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก” เพื่อรับผิดชอบภารกิจในการจัดทำเป้าหมายแผนด้านการลดก๊าซเรือนกระจกและการประเมินการปลดปล่อยและกักเก็บก๊าซเรือนกระจกรายจังหวัด | |
กองขับเคลื่อนการปรับตัว ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | เปลี่ยนชื่อกองส่งเสริมและเผยแพร่เป็น “กองขับเคลื่อนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” และปรับปรุงหน้าที่และอำนาจ โดยนำภารกิจด้านการส่งเสริม สร้างจิตสำนึก เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ของกองส่งเสริมและเผยแพร่รวมกับกองประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (สผ.) | |
ศูนย์วิจัยด้านการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม | เปลี่ยนชื่อศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม เป็น “ศูนย์วิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” และปรับปรุงหน้าที่และอำนาจโดยเพิ่มหน้าที่ในการจัดทำกรอบและแผนงานวิจัยในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาพรวมของประเทศ งานศึกษา วิจัย พัฒนา ถ่ายทอดข้อมูลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรวมกับกองประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (สผ.) | |
กองส่งเสริมการมีส่วนร่วม ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม | เปลี่ยนชื่อกองส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็น “กองส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” และปรับปรุงหน้าที่และอำนาจ โดยนำภารกิจด้านการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดำเนินงาน | |
ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมกับกองประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (สผ.) |
2. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. 2565 โดยตัดโอนทั้งภารกิจที่เป็นหน้าที่และอำนาจของกองประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ออกจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทส.
เศรษฐกิจ-สังคม |
7. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เรื่องเดิม
คณะรัฐมนตรีมีมติ (8 กุมภาพันธ์ 2565) (เรื่อง ขอความเห็นชอบผลการเจรจาและเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว) ให้ มท. (กรุงเทพมหานคร) รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม (คค.) (ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินงานของกรุงเทพมหานครเนื่องจากข้อมูลที่กรุงเทพมหานครจัดทำเพิ่มเติมไม่มีการเปลี่ยนแปลงในข้อเท็จจริงที่ทำให้การวิเคราะห์ของ คค. แตกต่างไปจากเดิม โดยเฉพาะในประเด็นของการคำนวณอัตราค่าโดยสารการรองรับระบบตั๋วร่วม และความชัดเจนของประเด็นข้อกฎหมาย รวมทั้งความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการติดตั้งสะพานเหล็ก 2 แห่ง และรายละเอียดค่าใช้จ่ายโครงการช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ด้วย) ไปพิจารณาจัดทำข้อมูลข้อเท็จจริงในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนครบถ้วน แล้วนำเรื่องนี้พร้อมข้อมูลดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งโดยด่วน
สาระสำคัญของเรื่อง
มท. รายงานว่า
1. เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565 มท. (กรุงเทพมหานคร) ได้สรุปข้อมูลเพิ่มเติมตามความเห็นของ คค. เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลค.) ได้แจ้งว่า คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเรื่อง ขอความเห็นชอบผลการเจรจาและเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของ มท. และมีมติเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 แล้ว ถือเป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการเสนอเรื่องนี้ต่อคณะรัฐมนตรี ประกอบกับระยะเวลาได้ล่วงเลยมาพอสมควร ส่งผลให้รายละเอียดและข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงและไม่เป็นปัจจุบัน โดย สลค. มีข้อสังเกตว่า หาก มท. จะเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง มท. ควรจัดทำรายละเอียดข้อมูลและข้อเท็จจริงในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน และดำเนินการตามขั้นตอนการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ กรุงเทพมหานคร (พลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในขณะนั้น) ยืนยันว่าได้ดำเนินการครบถ้วนและถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และหลักธรรมมาภิบาลที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเป็นไปตามเจตนารมณ์ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2562 ลงวันที่ 11 เมษายน 2562 เรื่อง การดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว
2. กรุงเทพมหานคร (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร) มีแนวทางการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ดังนี้
2.1 กรุงเทพมหานครเห็นพ้องด้วยกับนโยบายการลดภาระค่าใช้จ่ายการเดินทางของประชาชนและทำให้การบริการสาธารณะเป็นไปอย่างต่อเนื่องเป็นโครงข่ายเดียวกัน (Through Operation) จึงเห็นควรขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลสำหรับโครงสร้างพื้นฐานและงานติดตั้งระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) ของโครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ในกำกับดูแลของกรุงเทพมหานครเช่นเดียวกับโครงการรถไฟฟ้าสายอื่นที่รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการ เพื่อให้ค่าโดยสารอยู่ในระดับที่ประชาชนสามารถรับภาระค่าใช้จ่ายได้ โดยเฉพาะส่วนต่อขยายที่ 2 (ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ) ที่เป็นส่วนต่อขยายพื้นที่ให้บริการนอกเขตกรุงเทพมหานคร และยังมีผู้โดยสารจำนวนไม่มาก
2.2 กรุงเทพมหานครเห็นควรที่จะดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 เพื่อให้การพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนมีความรอบคอบ มีการพิจารณาข้อมูลรอบด้านและตรวจสอบได้ อันจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะในการได้รับการบริการของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ
2.3 จากกรณีที่คณะกรรมการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2562 เรื่อง การดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ลงวันที่ 11 เมษายน 2562 ได้เจรจากับบริษัทเอกชนไว้ว่า บริษัทฯ จะเป็นผู้รับภาระส่วนต่างค่าเดินรถที่ค้างจ่ายอยู่ทั้งหมด กรุงเทพมหานครจึงได้หยุดชำระค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2562 นับถึงปัจจุบันเป็นเวลานาน 4 ปี ก่อให้เกิดภาระต่อเอกชนผู้ให้บริการ รวมถึงมีภาระดอกเบี้ยที่อาจจะเกิดขึ้นกับกรุงเทพมหานครในอนาคต การหาข้อยุติตามการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวของคณะรัฐมนตรีจะช่วยทำให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินการต่อของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์สูงสุดของทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนซึ่งเป็นผู้ใช้บริการสาธารณะ
3. กรุงเทพมหานครเห็นควรให้มีการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณสำหรับค่าก่อสร้างและดอกเบี้ยในอนาคตทั้งหมด โดยปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีภาระหนี้จากงานโครงสร้างพื้นฐานและงานซื้อขายพร้อมติดตั้งระบบการเดินรถ รวมทั้งสิ้น 78,830,860,930.74 บาท ดังนี้
รายการ | จำนวนเงิน (บาท) |
| 55,034,705,168.61 |
| 1,508,924,369.32 |
| 22,287,230,392.81 |
อนึ่ง เนื่องจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 มีผลใช้บังคับแล้ว การขอรับการสนับสนุนงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ตามข้อ 3) จึงไม่สามารถเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาได้เพราะจะมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร
ทั้งนี้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีความเห็นให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กรุงเทพมหานคร (มท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้เกิดความชัดเจนในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1. ความชัดเจนของการดำเนินโครงการ ให้กรุงเทพมหานครหารือร่วมกับกระทรวงคมนาคมในประเด็นของระบบตั๋วร่วมการกำหนดอัตราค่าโดยสารการเชื่อมโยงโครงข่ายการเดินทางและรายละเอียดอื่น ๆ ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความพร้อมของกรุงเทพมหานครในการรับมอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ - คูคต ตามมติคณะรัฐมนตรี (26 พฤศจิกายน 2561) และความชัดเจนในประเด็นข้อกฎหมาย โดยให้ กทม. ประสานงานกับ สงป. ในรายละเอียด รวมทั้งสถานะ หรือแนวทางการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทและภาระหนี้ และการเปลี่ยนแปลง การปฏิบัติจากการปฏิบัติตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2562 เป็นการดำเนินการตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ พ.ศ. 2562
2. สำนักงบประมาณ เห็นว่า กระทรวงมหาดไทย (กทม.) ควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำข้อมูลประมาณการวงเงินภาระหนี้สินที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทั้งหมดจนจบสัญญาสัมปทาน (ปี 2572) เปรียบเทียบกับประมาณการ รายได้/สถานะทางการเงินของ กทม. และจัดทำข้อเสนอแผนการชำระหนี้ดังกล่าวเป็นรายปี เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในโอกาสแรก
8. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณ งบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเบิกจ่ายโครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์ม เพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต๊อกน้ำมันปาล์ม งวดที่ 3 และงวดสุดท้าย
คณะรัฐมนตรีมติอนุมัติงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเบิกจ่ายงวดที่ 3 ตามพื้นที่จำนวน 13 พื้นที่ และงวดสุดท้ายโครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์ม เพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต๊อกน้ำมันปาล์ม (โครงการฯ) เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 107.24 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้มีผลดำเนินการได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ความเห็นชอบตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 169 (3) แล้ว
สาระสำคัญ
กระทรวงพาณิชย์ได้ขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 107.24 ล้านบาท เพื่อเบิกจ่ายให้แก่ผู้รับจ้างได้ส่งมอบงานงวดที่ 3 และงวดสุดท้าย (ซึ่งได้ดำเนินการตรวจรับงานเรียบร้อยแล้ว) ในโครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์มเพื่อบริหารจัดการและควบคุมสต๊อกน้ำมันปาล์ม [ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 และวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 ซึ่งอนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) ดำเนินโครงการดังกล่าวภายใต้วงเงิน 372.52 ล้านบาท เพื่อให้สามารถนำข้อมูลปริมาณน้ำมันปาล์มดิบไปใช้ในการกำกับดูแลและบริหารจัดการสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบได้รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์และเพื่อรักษาสมดุลและพยุงราคาผลปาล์มน้ำมันภายในประเทศให้มีเสถียรภาพขึ้น] แต่โดยที่กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) ไม่สามารถเบิกจ่ายจากงบประมาณดังกล่าวได้ทันจึงทำให้วงเงินที่ได้รับการอนุมัติไว้แต่ถูกพับไปโดยผลของกฎหมาย ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์มีความจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยงบประมาณดังกล่าว ทั้งนี้ สำนักงบประมาณแจ้งว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบวงเงินดังกล่าวด้วยแล้ว
พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 169 (3) บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2566 (เรื่อง แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร) กำหนดแนวทางปฏิบัติและขั้นตอนการดำเนินการตามมาตรา 169 (3) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งไว้ว่า การอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จะต้องกระทำเท่าที่จำเป็น และต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน โดยการดำเนินการดังกล่าวจะกระทำได้เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติภารกิจของส่วนราชการที่มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณนอกเหนือจากที่ได้รับการจัดสรร หรือที่ได้รับการจัดสรรไปแล้วแต่ไม่เพียงพอ และมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน แล้วจึงเสนอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบตามบทบัญญัติดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์แจ้งว่ หากไม่มีเงินรองรับการเบิกจ่ายงวดงานตามสัญญาจ้างฯ อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการได้
9. เรื่อง การนำที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะมาใช้ในโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกบริเวณหนองตาเหี่ยม ตำบลอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก
คณะรัฐมนตรีมีติเห็นชอบการนำที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะบริเวณที่ราชพัสดุ แปลงหมายเลขที่ พล 385 พื้นที่จำนวน 104-3-64 ไร่ เพื่อนำมาใช้ในโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่1 บริเวณหนองตาเหี่ยม ตำบลอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก (โครงการจัดรูปที่ดินฯ) ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงมหาดไทยเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการนำที่ราชพัสดุ แปลงหมายเลขที่ พล 385 พื้นที่จำนวน 104-3-64 ไร่ มาใช้ในโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณหนองตาเหี่ยม ตำบลอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก เพื่อให้ที่ดินบริเวณดังกล่าวทุกแปลง (ซึ่งรวมถึงทางสาธารณประโยชน์ ที่สาธารณประโยชน์ และที่ดินของเอกชน) มีรูปแปลงเหมาะสมและสามารถเข้าถึงได้ รวมถึงเพื่อเป็นการพัฒนาโครงข่ายถนนตามผังเมืองรวมเมืองพิษณุโลก และเป็นเส้นทางระบายการจราจรตามที่ผังเมืองรวมกำหนดไว้ในกระบวนการจัดรูปแปลงที่ดิน ซึ่งคณะกรรมการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ส่วนจังหวัดพิษณุโลกและคณะกรรมการจัดหารูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ได้เห็นชอบโครงการจัดรูปที่ดินดังกล่าวแล้ว รวมทั้งได้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วยแล้ว โดยประชาชนร้อยละ 88.30 เห็นด้วย ประกอบกับภายหลังจากมีการดำเนินการจัดรูปที่ดินใหม่แล้วจะทำให้จำนวนที่ดินของรัฐรวมกันทั้งหมดมีขนาดเพิ่มขึ้นอีก จำนวน 115-2-27 ไร่ (เพิ่มขึ้นจาก 301-3-97 ไร่ เป็น 417-2-24 ไร่) และมีพื้นที่จัดหาประโยชน์เพิ่มขึ้น 48-1-34.5 ไร่ แต่มีขนาดพื้นที่รวมของโครงการเท่าเดิม จำนวน 1,451-2-24 ไร่ เท่ากับก่อนจัดรูปที่ดิน (ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดิน เพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. 2547)
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นควรให้ความเห็นชอบ/เห็นชอบในหลักการ/ไม่ขัดข้องตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดพิษณุโลกและเทศบาลอรัญญิกจะต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองพิษณุโลก พ.ศ. 2553 กฎหมายอื่น ๆ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่า เรื่องดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะพิจารณามีความเห็นได้ตามมาตรา 169 (1) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีนี้กระทรวงมหาดไทยได้รับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินการสำหรับโครงการดังกล่าวไว้แล้ว การให้ความเห็นชอบในครั้งนี้จึงไม่มีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป อันเป็นข้อห้ามตามมาตรา 169 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
_________________
1 โครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ คือ การนำแปลงที่ดินหลาย ๆ แปลงมารวมกันเพื่อจัดรูปแปลงที่ดินใหม่ให้เป็นระเบียบและสวยงาม พร้อมทั้งจัดระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และบริการสาธารณะต่าง ๆ ที่ได้มาตรฐานอย่างครบถ้วนและเพียงพอ
10. เรื่อง การจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร กรณีสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
คณะรัฐมนตรีมีติเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เป็นองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะตามที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กพม. รายงานว่า
1. พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 4 บัญญัติให้ “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ ที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย ซึ่งต่อมาพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ 31) พ.ศ. 2564 มาตรา 3/1 (3) บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะที่เป็นองค์การมหาชนตามมติคณะรัฐมนตรีตามข้อเสนอของ กพม. เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดฯ (ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2564)
2. โดยที่ สกมช. จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 มาตรา 20 ได้บัญญัติให้ สกมช. เป็นหน่วยงานของรัฐ มีฐานะเป็นนิติบุคคลและไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น (คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดตั้ง สกมช. เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2561) ต่อมา กพม. ในการประชุม ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2562 ได้พิจารณาสถานะองค์กรและขั้นตอนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง1 และมีมติเห็นชอบให้ สกมช. เป็นองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ และให้ สกมช. ส่งคำขอจัดกลุ่มองค์การมหาชนไปยังสำนักงาน ก.พ.ร. โดยเมื่อได้รับแจ้งผลการพิจารณาการจัดกลุ่ม2 จาก กพม. แล้ว ให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป (เช่น จัดทำหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเบี้ยประชุม) โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ในขณะนั้นจึงยังไม่ได้มีข้อเสนอของ กพม. ไปยังคณะรัฐมนตรี ประกอบกับยังไม่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดฯ พ.ศ. 2564 มาตรา 3/1 (3) ที่บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะที่เป็นองค์การมหาชนตามมติคณะรัฐมนตรีตามข้อเสนอของ กพม. เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดชอบทางละเมิดฯ ดังนั้น สกมช. จึงมิได้มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดฯ สกมช. จึงได้ขอให้ กพม. พิจารณาความจำเป็นที่จะต้องเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ สกมช. เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดฯ และมาตรา 3/1 (3) แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดฯ พ.ศ. 2564
3. ในส่วนของ สคส. จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 43 (4) บัญญัติให้ สคส. เป็นหน่วยงานของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ (คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดตั้ง สคส. เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2561) และ กพม. ในการประชุม ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2562 ได้พิจารณาสถานะองค์กรและขั้นตอนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมีมติเห็นชอบให้ สคส. เป็นองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ โดยในขณะนั้นไม่ได้มีข้อเสนอของ กพม. ไปยังคณะรัฐมนตรี สคส. จึงไม่เข้าข่ายเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดฯ พ.ศ. 2564 มาตรา 3/1 (3) เช่นเดียวกับ สกมช.
4. กพม. ในการประชุม ครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้ สกมช. และ สคส. ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดฯ รวมทั้งเพื่อให้การจัดตั้งหน่วยงานทั้ง 2 แห่งดังกล่าว เป็นไปตามขั้นตอนการจัดตั้งองค์การมหาชน จึงมีมติเห็นชอบให้ยืนยันมติ กพม. ในการประชุม ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2562 ที่เห็นชอบให้ สกมช. และ สคส. เป็นองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะตามมติคณะรัฐมนตรี (20 ตุลาคม 2552) เรื่อง การปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร และให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ สกมช. และ สคส. เป็นองค์การมหาชนตามข้อเสนอของ กพม.
5. สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีหลังยุบสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 169 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งหลังจากมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปเว้นแต่ที่กำหนดไว้แล้วในงบประมาณรายจ่ายประจำปี กพม. แจ้งว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการดำเนินการในลักษณะงานปกติตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ไม่ได้เป็นการกำหนดนโยบายขึ้นใหม่ จึงไม่เป็นการกระทำการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป
___________________
1 ขั้นตอนในการเสนอขอจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ/องค์การมหาชนขึ้นใหม่ [ตามมติคณะรัฐมนตรี (18 กรกฎาคม 2549 และ 9 สิงหาคม 2559)] สำนักงาน ก.พ.ร. จะเป็นผู้วิเคราะห์การจัดตั้งหน่วยงานและจัดประเภทของหน่วยงานของรัฐนั้น ๆ ก่อนเสนอ กพม. ตามขั้นตอน หลังจาก กพม. มีมติแล้ว ให้ส่วนราชการเสนอขอจัดตั้งต่อคณะรัฐมนตรีพร้อมคำชี้แจงและมติ กพม. ทั้งนี้ กรณีที่ กพม. เห็นควรให้ดำเนินการใดเพิ่มเติม ให้ส่วนราชการดำเนินการตามมติ กพม. แล้วให้เสนอคำขอจัดตั้งหน่วยงานมาเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนใหม่อีกครั้ง
2 การจัดกลุ่มองค์การมหาชน [ตามมติคณะรัฐมนตรี (7 กันยายน 2547)] จำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มพัฒนาและดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐเฉพาะด้าน (2) กลุ่มบริการที่ใช้เทคนิควิชาการเฉพาะด้านหรือสหวิทยากร และ (3) กลุ่มบริการสาธารณะทั่วไป
11. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐของสำนักงาน กสม.
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จำนวน 17,381,600 บาท ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (สำนักงาน กสม.) เสนอ
สาระสำคัญ
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เช่น เงินเดือนและเงินอื่น ๆ ที่จ่ายให้แก่ข้าราชการและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และค่าตอบแทนพนักงานราชการ และค่าจ้างลูกจ้างสำนักงาน จำนวน 17,381,600 บาท เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่ได้รับจัดสรร จำนวน 151,747,900 บาท ไม่เพียงพอจนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่งสำนักงบประมาณได้พิจารณาแล้วเห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาอนุมัติหลักการการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 17,381,333 บาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการแล้ว ส่วนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายงบกลางตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอได้ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนที่จะดำเนินการเบิกจ่ายต่อไป
12. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป (เพิ่มเติม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป (เพิ่มเติม) รวมทั้งสิ้น 19,962,092.10 บาท ของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่ร่วมดำเนินการ จำนวน 2 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 10,504,330.00 บาท และบริษัท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) จำนวน 9,457,762.10 บาท ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สำนักงาน กกต.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการเลือกตั้งทั่วไป (เพิ่มเติม) ของหน่วยงานที่ร่วมดำเนินการ 2 หน่วยงาน จำนวน 19,962,092.10 บาท [สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 10,504,330.00 บาท และบริษัท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) จำนวน 9,457,762.10 บาท] ซึ่งสำนักงบประมาณได้พิจารณาแล้วเห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาอนุมัติหลักการการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงินทั้งสิ้น 19,962,092.10 บาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการแล้ว ส่วนกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติหลักการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ โดยจะต้องดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎรรวมทั้งให้ความสำคัญกับการควบคุมและกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอได้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนที่จะดำเนินการเบิกจ่ายต่อไป
13. เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมายตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการบริหารจัดการคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปี ที่ประสงค์จะทำงาน สามารถอยู่และทำงานเป็นการชั่วคราวได้ไม่เกินวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 โดยต้องดำเนินการตามประกาศกระทรวงมหาดไทยและประกาศกระทรวงแรงงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคนต่างด้าวดังกล่าวประกอบด้วย
1.1 คนต่างด้าว 4 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ที่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง ซึ่งมีอายุหรือหมดอายุ และมีรอยตราประทับ ซึ่งการอนุญาตทำงานหรือการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลงโดยผลของกฎหมาย เช่น กรณีคนต่างด้าวออกจากนายจ้างรายเดิมแล้วไม่สามารถหานายจ้างรายใหม่ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือกรณีไม่สามารถทำงานต่อไปได้เนื่องจากดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาไม่ครบทุกขั้นตอน
1.2 คนต่างด้าว 4 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ที่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางและมีรอยตราประทับ โดยระยะเวลาการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลงแต่ไม่ได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร (Over Stay)
1.3 คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) ที่เข้าเมืองผิดกฎหมายหรือการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุด และทำงานอยู่กับนายจ้างก่อนที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบ
2. เห็นชอบการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
2.1 กระทรวงมหาดไทย ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 โดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรี ดังนี้
1) ให้คนต่างด้าวตามข้อ 1. อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 เพื่อดำเนินการตามประกาศกระทรวงแรงงาน
2) ให้ผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของต่างด้าวตามข้อ 1. ที่มีอายุไม่เกินสิบแปดปีบริบูรณ์ มีสิทธิอยู่ในราชอาณาจักรได้ตามระยะเวลาที่บิดาหรือมารดาของผู้นั้นได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร โดยให้ผู้ติดตามคนต่างด้าวนั้นดำเนินการหรือบิดาหรือมารดาของผู้นั้นดำเนินการตามแนวทางที่กระทรวงแรงงานกำหนด
3) มิให้นำมาตรา 12 (10) และมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ 1/2558 เรื่อง การไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาในราชอาณาจักร ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2558 มาใช้บังคับแก่คนต่างด้าวดังกล่าว รวมถึงกำหนดการสิ้นผลของการอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้ยกร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ...
2.2 กระทรวงแรงงาน ออกประกาศกระทรวงแรงงาน โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 14 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดการดำเนินการ ดังนี้
1) นายจ้างยื่นบัญชีรายชื่อพร้อมรูปถ่ายเพื่อแจ้งความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว (Name list) ต่อกรมการจัดหางาน
2) กรมการจัดหางานตรวจ/อนุมัติบัญชีรายชื่อแจ้งความต้องการจ้าง (Name list) แรงงานต่างด้าว และให้คนต่างด้าวใช้บัญชีรายชื่อ (Name list) เป็นเอกสารหลักฐาน เพื่อแสดงว่าคนต่างด้าวได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษและทำงานถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้ยกร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ...
ต่างประเทศ |
14. เรื่อง ผลการประชุม The 1st Asia Zero Emission Community (AZEC) Ministerial Meeting
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอผลการประชุม The 1st Asia Zero Emission Community (AZEC) Ministerial Meeting (การประชุมฯ) เมื่อวันที่ 3-5 มีนาคม 2566 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม [เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (28 กุมภาพันธ์ 2566) ที่เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมฯ และร่างบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนด้านเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage : CCUS) ระหว่าง พน. แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น (บันทึกความร่วมมือฯ)] สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. ภาพรวมของการประชุมฯ มีรัฐมนตรีและผู้แทนจาก 10 ประเทศ เข้าร่วมการประชุมฯ ได้แก่ เครือรัฐออสเตรเลีย เนการาบรูไนดารุสซาลาม ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รวมถึงผู้แทนจากทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency : IEA) และสถาบันวิจัยทางเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเชียตะวันออก (Economic Research Institute for ASEAN and East Asia : ERIA) โดยที่ประชุมได้ร่วมรับรองแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมฯ ซึ่งประเทศพันธมิตรจะร่วมผลักดันความร่วมมือเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานของภูมิภาค เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน พลังงานหมุนเวียน ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซธรรมชาติเหลว รวมถึงเทคโนโลยี CCUS ทั้งนี้ ญี่ปุ่นและประเทศพันธมิตรจะมีการหารือเพื่อหาแนวทางการลดการปล่อยคาร์บอนที่หลากหลายและสามารถปฏิบัติได้จริง
2. การกล่าวปาฐกถาของรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงขององค์กรที่เข้าร่วมการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้
ประเทศ | สาระสำคัญ |
ญี่ปุ่น | เน้นย้ำเป้าหมายร่วมกันที่จะมุ่งไปสู่การบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) โดยให้ความสำคัญกับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ (1) การลดการปล่อยคาร์บอนต้องดำเนินควบคู่กับการเสริมสร้างความมั่งคงทางพลังงาน (2) เลือกใช้เทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้า โดยคำนึงถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่กันไปด้วย และ (3) ทุกประเทศมีแนวทางการบรรลุเป้าหมายที่มีความหลากหลายและมีวิธีการที่เหมาะสมแตกต่างกันตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาค ดังนั้น ความร่วมมือภายใต้ AZEC จะช่วยสนับสนุนแนวทางที่หลากหลายของแต่ละประเทศเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายเดียวกันได้ในอนาคต |
อินโดนีเซีย | มีเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนจากภาคพลังงาน โดยมุ่งเน้นการยุติการใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินให้เร็วขึ้น ผลักดันกลไกตลาดของเทคโนโลยี CCUS และยานยนต์ไฟฟ้า |
มาเลเซีย | มีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 45 ภายใน ค.ศ. 2030 โดยการปรับเปลี่ยนสัดส่วนการจัดหาพลังงานให้เป็นพลังงานสะอาดมากขึ้น ทั้งนี้ การผลักดันเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานในช่วงวิกฤตพลังงานต้องคำนึงถึงความมั่งคงทางพลังงาน การเข้าถึงพลังงานอย่างเท่าเทียม และการจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการในการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ซึ่งต้องอาศัยการประสานงานระหว่างภาครัฐของแต่ละประเทศ |
ฟิลิปปินส์ | ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนร้อยละ 35 ภายใน ค.ศ. 2030 และร้อยละ 50 ภายใน ค.ศ. 2040 โดยเฉพาะการพัฒนาพลังงานลมนอกชายฝั่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ ให้ความสำคัญกับการลดความเข้มของการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ การเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและขยายความร่วมมือระหว่างประเทศ |
สิงคโปร์ | แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวโดยใช้กลยุทธ์ 3 ประการ ได้แก่ (1) การเพิ่มการใช้พลังงานสีเขียวโดยการซื้อขายพลังงานสีเขียวข้ามพรมแดน (2) ความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดให้สามารถใช้งานได้จริง และ (3) ทุกประเทศควรร่วมมือกันผลักดันการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานและไม่ควรละทิ้งบทบาทของก๊าซธรรมชาติ |
ไทย | มุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานไปพร้อมกับการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และพร้อมที่จะร่วมมือกับนานาประเทศในการขยายการเชื่อมโยงด้านพลังงานในภูมิภาค และสนับสนุนประเทศพันธมิตรในการบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานร่วมกัน |
เวียดนาม | ความร่วมมือ AZEC จะเป็นกลไกสำคัญในการช่วยให้ประเทศต่าง ๆ บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ ดังนี้ (1) สามารถช่วยส่งเสริมความเชื่อมโยงและความร่วมมือระหว่างภาครัฐของประเทศพันธมิตร รวมถึงระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยดึงดูดแหล่งเงินทุนภาครัฐได้ (2) ควรใช้ประโยชน์สูงสุดจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคพลังงานสะอาด และ (3) ควรจัดตั้งกองทุนหรือมูลนิธิเพื่อส่งเสริมกิจกรรมการวิจัยและพัฒนาโครงการด้านพลังงานในภูมิภาค รวมถึงการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรบุคคล |
ออสเตรเลีย | การผลักดันมาตรการรองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานจะต้องมีความร่วมมือจากนานาประเทศในระดับโลก โดยออสเตรเลียมีศักยภาพในด้านทรัพยากรพลังงานหมุนเวียน มีแรงงานทักษะสูง และมีภาคการลงทุนที่เข้มแข็ง ดังนั้น จึงต้องการร่วมสร้างอุตสาหกรรมพลังงานแบบใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและพร้อมที่จะสนับสนุนการค้าการลงทุนสีเขียวภายใต้กรอบ AZEC ต่อไป |
ลาว | มีเป้าหมายการพัฒนาพลังงานสะอาดของประเทศที่มีความท้าทายมากขึ้น เช่น การเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดให้ได้ร้อยละ 30 ในช่วง ค.ศ. 2020-2025 การเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำให้ได้ร้อยละ 25 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด และการผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ร้อยละ 20 ภายใน ค.ศ. 2030 |
กัมพูชา | จะร่วมกันผลักดันการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานโดยคำนึงถึงสถานการณ์ที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ โดยในส่วนของมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่าง ๆ ต้องอาศัยความพยายามและความร่วมมือจากหลายภาคส่วนที่จะผลักดันการผลิตและการใช้พลังงานสะอาด การผลักดันกลไกการซื้อขายคาร์บอน ตลอดจนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์จากนานาประเทศ |
ERIA | ผลการศึกษาเกี่ยวกับนโยบายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ได้แก่ (1) ทุกประเทศต้องจัดทำแผนการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคพลังงาน โดยระบุเทคโนโลยีที่จะใช้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว (2) การปรับเปลี่ยนจากเชื้อเพลิงถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงสะอาด (3) ทวีปเอเชียต้องปรับใช้เทคโนโลยีการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างกว้างขวาง (4) ควรมีการสนับสนุนทางการเงินที่เหมาะสมสำหรับเทคโนโลยีการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน และ (5) ควรมีการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการปรับใช้และการผสมผสานเทคโนโลยีการลดการปล่อยคาร์บอน |
IEA | ทวีปเอเชียต้องการการสนับสนุนเงินทุนและการลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดอย่างมากเพื่อเพิ่มสัดส่วนของพลังงานสะอาด นอกจากนี้ จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดอย่างเหมาะสม และควรมีการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศให้กว้างขวางขึ้น |
3. การหารือทวิภาคีระหว่างรองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกับผู้บริหารระดับสูงของประเทศ/องค์กรที่เข้าร่วมการประชุมฯ
สรุปได้ ดังนี้
การหารือ | สาระสำคัญ |
ไทย-ญี่ปุ่น | เห็นพ้องที่จะมีการร่วมสร้างสรรค์ (Co-Creation) เพื่อนำไปสู่การลงทุนในอนาคต โดยจะร่วมกันจัดงาน “ASEAN-Japan Fast Track Pitch Event” ณ กรุงเทพมหานครในเดือนกรกฎาคม 2566 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนานวัตกรรม start-up นอกจากนี้เห็นพ้องที่จะผลักดันความร่วมมือด้านการพัฒนาพลังงานไฮโดรเจนและแอมโมเนียและผลักดันความร่วมมือในการซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวร่วมกัน อีกทั้งไทยได้ขอให้ญี่ปุ่นสนับสนุนการจัดงาน Expo 2028 ณ จังหวัดภูเก็ต และไทยจะสนับสนุนการจัดงาน Osaka Expo 2025 ณ ญี่ปุ่น ต่อไป |
ไทย-ออสเตรเลีย | ออสเตรเลียเสนอความร่วมมือในการถ่ายทอดองค์ความรู้การเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้าในพื้นที่ห่างไกลและการสร้างตลาดซื้อขายพลังงาน โดยไทยพร้อมจะผลักดันความร่วมมือภายใต้แผนที่นำทาง (Roadmap) ความร่วมมือระหว่างไทยและออสเตรเลียให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป |
ไทย-IEA | มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลแนวทาง/มาตรการการรับมือกับวิกฤตพลังงานโลก รวมถึงการแลกเปลี่ยนแนวทางการผลักดันการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน โดย IEA เห็นด้วยที่อาเซียนจะมีการผลักดัน LNG Joint Procurement ซึ่งเป็นแนวทางการรับมือกับวิกฤตราคาก๊าซธรรมชาติเหลวที่เพิ่มสูงขึ้นที่สอดคล้องกับแนวทางของกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป ทั้งนี้ ฝ่ายไทยยินดีที่จะร่วมมือกับ IEA เพิ่มเติมในด้านการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ยานยนต์ไฟฟ้า CCUS และประสิทธิภาพการใช้พลังงานต่อไป เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่นในการพัฒนาการกักเก็บคาร์บอนในอนาคต |
4. การลงนามในบันทึกความร่วมมือและความตกลงระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่น
รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ญี่ปุ่น ได้ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือฯ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่นในการพัฒนาการกักเก็บคาร์บอนในอนาคต นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามเอกสารความร่วมมือของบริษัทด้านพลังงานของไทย ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัทเอกชนของญี่ปุ่น ในการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสมัยใหม่หลายประเภท เช่น การพัฒนาไฮโดรเจนและแอมโมเนีย เชื้อเพลิงชีวภาพ เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน ระบบกักเก็บพลังงาน และความร่วมมือในการซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวร่วมกัน
15. เรื่อง ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเร่งรัดการขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 2
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเร่งรัดการขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ครั้งที่ 2 (การประชุมฯ) เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2566 ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) เข้าร่วมการประชุมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยและปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานร่วมในการประชุมฯ ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการสำนักงานด้านการพัฒนาและเศรษฐกิจแห่งชาติแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ [เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (4 เมษายน 2566) ที่เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ* ซึ่งหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง] ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ให้การรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ โดยไม่มีการลงนาม และได้เห็นชอบการดำเนินการต่าง ๆ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. รายงานของที่ประชุมอาเซียนว่าด้วยเรื่อง SDGs โดยหน่วยงานด้านการวางแผนพัฒนาระดับประเทศ ครั้งที่ 3 สรุปได้ ดังนี้
1.1 เน้นย้ำความเพียงพอของข้อมูลและการรายงานข้อมูลเพื่อใช้ตรวจสอบความก้าวหน้าในการขับเคลื่อน SDGs
1.2 ส่งเสริมความสอดคล้องระหว่างนโยบาย/โครงการและความร่วมมือ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับโลก พร้อมทั้งตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานระดับชาติที่เกี่ยวข้อง
1.3 ส่งเสริมความยืดหยุ่นของการลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน โดยสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากข้อมูล เทคโนโลยีสารสนเทศ และนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ส่งเสริมการบรรลุ SDGs
1.4 เสนอให้มีความร่วมมือระดับภูมิภาคที่เข้มแข็งเพื่อส่งเสริมการตระหนักถึงความสำคัญของ SDGs
2. ร่างขอบเขตการดำเนินงานฯ มีการปรับปรุงรายละเอียดเพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งสาระสำคัญตามร่างขอบเขตการดำเนินงานฯ ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2566 ดังนี้
2.1 ปรับถ้อยคำและเนื้อหาของร่างขอบเขตการดำเนินงานฯ ให้กระชับและครอบคลุมมากขึ้น โดยเพิ่มประเด็นหุ้นส่วนความร่วมมือ และการกำหนดระยะเวลาการประชุมฯ ให้ชัดเจน โดยกำหนดไว้ทุก 3 ปี จากเดิมที่ระบุว่า มีการจัดประชุมอย่างสม่ำเสมอตามที่ตกลงกัน
2.2 การเพิ่มถ้อยคำโดยเน้นย้ำหลักการการตัดสินใจบนหลักฉันทามติ ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนไว้ในกลไกการประชุมระดับรัฐมนตรีดังกล่าว
3 ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีการปรับปรุงรายละเอียดให้มีความสมบูรณ์มากขึ้นแต่ยังคงไว้ซึ่งสาระสำคัญตามร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2566 โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
3.1 เพิ่มเนื้อหาให้มีความชัดเจนขึ้น โดยเน้นการสร้างความเข้มแข็งในความร่วมมือระดับภูมิภาค ได้แก่ การแลกเปลี่ยนหลักปฏิบัติที่ดีและการพัฒนาศักยภาพของสถาบันภาครัฐ
3.2 ปรับเนื้อหาการดำเนินงานเพื่อบรรลุ SDGs โดยมุ่งเน้นการลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการบรรลุ SDGs
3.3 มุ่งดำเนินงานให้ครอบคลุมชุมชนท้องถิ่นและชุมชนในชนบทเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างทั่วถึง ตลอดจนคำนึงถึงคนทุกกลุ่มมากขึ้น โดยเพิ่มเติมกลุ่มคนเปราะบาง ชุมชนท้องถิ่น และเด็กและเยาวชน
3.4 เพิ่มเรื่องการทบทวนและปรับปรุงยุทธศาสตร์การฟื้นฟูจากโควิด-19 ให้สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาประเทศและกรอบการเงินเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) ได้นำเสนอประเด็นสำคัญที่ควรเร่งดำเนินการร่วมกัน ได้แก่ ปัญหาความยากจน การมีส่วนร่วมของเยาวชนในการผลักดันและกำหนดทิศทางของ SDGs การสร้างบรรยากาศแห่งการแบ่งปันและการเรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดีระหว่างหน่วยงานด้านการวางแผนพัฒนาประเทศ และการส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุนและเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ โดยได้ยกตัวอย่างโครงการสำคัญของไทย เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การแก้ปัญหาความยากจนและการพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนโดยใช้ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทของไทยในการขับเคลื่อนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
________________________
*เอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ประกอบด้วย (1) ร่างขอบเขตการดำเนินงานของการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเร่งรัดการขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (ร่างขอบเขตการดำเนินงานฯ) และ (2) ร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเร่งรัดการขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 2 (ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ)
16. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย-ตุรกี ครั้งที่ 4 และกิจกรรมคู่ขนาน
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอผลการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย-ตุรกี ครั้งที่ 4 และกิจกรรมคู่ขนาน และพิจารณามอบหมายหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในโอกาสแรก และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า
1. เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2532 รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐตุรกีได้ลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย-ตุรกี เพื่อเป็นกรอบการดำเนินความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกันในทางเศรษฐกิจและวิชาการและทั้งสองฝ่ายได้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย-ตุรกี โดยมีการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ 3 ครั้ง (ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2533 ณ กรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2542 ณ กรุงอังการา สาธารณรัฐตุรกี และครั้งที่ 3 เมื่อปี 2547 ณ กรุงเทพมหานคร)
2. เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2566 กระทรวงการค้าสาธารณรัฐตุรกีเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ 4 ณ กรุงอังการา ตุรกี โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีตุรกี (นายมุสตาฟา วารังก์) เป็นประธานร่วมและรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) ได้เข้าเยี่ยมคารวะรองประธานาธิบดีตุรกี (นายฟวต อ็อกไต) และพบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตุรกี (นายเมฟเลิต ชาวูโชลู) รวมทั้งได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
และเทคโนโลยีตุรกี (นายมุสตาฟา วารังก์) ด้วย สรุปได้ ดังนี้
3. ผลการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้
ประเด็น | สาระสำคัญ/ผลการประชุมฯ |
(1) การค้า | ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องขยายเป้าหมายทางการค้าให้ได้ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐผ่านการเร่งสรุปความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) ไทย-ตุรกี และให้จัดประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย-ตุรกี ครั้งที่ 1 เพื่อหารือประเด็นที่เป็นอุปสรรคด้านการค้าระหว่างกันในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ตลอดจนการใช้ตุรกีเป็นประตูการค้าเชื่อมโยงตลาดยุโรป เอเชียกลาง แอฟริกา บอลข่าน และคอเคซัส และการส่งเสริมให้ฝ่ายตุรกีใช้ไทยเป็นประตูการค้าเชื่อมไปยังตลาดอาเซียนและตลาดในประเทศสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) |
(2) การลงทุน | ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการลงทุนในประเทศของกันและกันให้มากขึ้น โดยฝ่ายไทยได้เชิญชวนฝ่ายตุรกีมาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) โดยเฉพาะสาขาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ยานยนต์ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียน |
(3) พลังงานและการท่องเที่ยว | ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้ขับเคลื่อนความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดและการส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งเป็นสาขาที่ไทยและตุรกีต่างมีศักยภาพที่จะเกื้อหนุนซึ่งกันและกันได้ |
(4) การลงนามความตกลงทวิภาคี | ภายหลังการประชุมฯ ได้มีการลงนามความตกลงทวิภาคี จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ (1) เอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ 4 และ (2) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างกรมความร่วมมือระหว่างประเทศและกรมความร่วมมือและประสานงานตุรกี (Turkish Cooperation and Coordination Agency-TiKA) |
4. ผลการเข้าเยี่ยมคารวะรองประธานาธิบดีตุรกี (นายฟวต อ็อกไต) เช่น (1) ฝ่ายตุรกีเสนอให้ทั้งสองฝ่ายพิจารณาความร่วมมือด้านพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานไฮโดรคาร์บอนและพลังงานรูปแบบอื่น ๆ (2) ฝ่ายไทยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเร่งรัดการเจรจาจัดทำ FTA ไทย-ตุรกีให้คืบหน้า โดยฝ่ายตุรกีเห็นว่า อุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็นสาขาความร่วมมือที่น่าสนใจและตุรกีมีศักยภาพสูง (3) ฝ่ายตุรกีเชิญชวนให้ฝ่ายไทยมีความร่วมมือด้านสาธารณสุข และ (4) ฝ่ายตุรกีหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะจัดการประชุมหารือด้านความมั่นคง (Security Dialogue) ได้โดยเร็ว และขอความร่วมมือสนับสนุนการติดตามเครือข่ายขบวนการ GüLEN ในประเทศไทยซึ่งฝ่ายตุรกีถือเป็นกลุ่มก่อการร้าย
5. กต. พิจารณาแล้วเห็นว่า การประชุมฯ มีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการต่าง ๆ เช่น
ประเด็น | การดำเนินการที่สำคัญ | หน่วยงานที่รับผิดชอบ |
(1) การค้า | - เพิ่มพูนและกระจายความหลากหลายในสาขาของการค้าทวิภาคี และส่งเสริมให้การค้าดำเนินไปอย่างสมดุลและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น - เพิ่มมูลค่าการค้าทวิภาคีระหว่างไทยกับตุรกีตามเป้าหมายร่วมกันที่ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ - ส่งเสริมการใช้ตุรกีเป็นประตูการค้าเชื่อมโยงตลาดยุโรป เอเชียกลาง แอฟริกา บอลข่าน และคอเคซัส และส่งเสริมให้ตุรกีใช้ไทยเป็นประตูการค้าเชื่อมตลาดอาเซียนและตลาดประเทศสมาชิก RCEP - เร่งรัดการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี ระหว่างไทยและตุรกี ตามแผนการทำงานสำหรับการเจรจา FTA ไทย-ตุรกีที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ | กระทรวงเภษตรและสหกรณ์ (กษ) กระทรวงพาณิชย์ (พณ) หอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาธุรกิจไทย-ตุรกี |
(2) การลงทุน | - ส่งเสริมการลงทุนในสาขาปิโตรเคมีของฝ่ายไทยในตุรกีซึ่งเป็นสาขาที่ฝ่ายตุรกีพร้อมให้การต้อนรับ - ส่งเสริมการลงทุนในสองประเทศในสาขาที่มีศักยภาพ ได้แก่ ธุรกิจสตาร์ทอัพ และอุตสาหกรรมชีวเคมี - ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ EEC ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยและอุตสาหกรรมที่ตุรกีมีศักยภาพ เช่น อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ยานยนต์ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียน | เช่น กระทรวงพลังงาน (พน.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) |
(3) วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย | - ส่งเสริมความร่วมมือกับองค์กรพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งตุรกี (KOSGEB) เช่น แลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์เกี่ยวกับมาตรการจูงใจ และศูนย์บ่มเพาะธุรกิจและเทคโนโลยี - พัฒนาวัฒนธรรมการเป็นผู้ประกอบการ และการฝึกอบรม ผู้ประกอบการ เพื่อการพัฒนาองค์กรที่เกี่ยวข้อง | สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม |
(4) พลังงาน | - สำรวจความร่วมมือในสาขาพลังงานหมุนเวียน ก๊าซธรรมชาติ การผลิตไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ และชีวมวล รวมถึงห่วงโซ่มูลค่าของยานยนต์ไฟฟ้า และการลดคาร์บอนในภาคพลังงาน - กระตุ้นการลงทุนในภาคพลังงานหมุนเวียน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และภาคการผลิตไฟฟ้าของไทยและตุรกี | เช่น พน. และ สกท. |
6. สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีหลังยุบสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 169 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งหลังจากมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป เว้นแต่ที่กำหนดไว้แล้วในงบประมาณรายจ่ายประจำปี กต. ได้ยินยันแล้วว่า ผลการประชุมฯ ไม่ได้เป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป เว้นแต่ที่กำหนดไว้แล้วในงบประมาณรายจ่ายประจำปี และเห็นว่าสามารถเสนอผลการประชุมฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามมาตรา 4 (7) แห่งพระราขกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ได้ต่อไป และสามารถดำเนินการได้ตามมาตรา 169 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
17. เรื่อง ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation: BIMSTEC) หรือบิมสเทค ครั้งที่ 19
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอผลการประชุมระดับรัฐมนตรีความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation: BIMSTEC) หรือบิมสเทค ครั้งที่ 19 และพิจารณามอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ต่อไป และให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า
1. เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2566 ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีบิมสเทค ครั้งที่ 19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) เป็นประธาน สาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1.1 ที่ประชุมฯ รับรองถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีบิมสเทค ครั้งที่ 19 ซึ่งมีสาระสำคัญไม่แตกต่างจากฉบับที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้ โดยมีการเก้ไขรายละเอียดบางประการได้แก่ (1) ปรับถ้อยคำเดิม จาก การให้ที่ประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 รับรองร่างสุดท้ายของขอบเขตอำนาจหน้าที่ของคณะผู้ทรงคุณวุฒิว่าด้วยทิศทางในอนาคตของบิมสเทค เป็น ให้ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีบิมสเทค ครั้งที่ 19 รับรองเอกสารฉบับนี้ และ (2) เพิ่มถ้อยคำที่กำหนดให้ที่ประชุมฯ รับรองการแก้ไขกฎและระเบียบทางการเงินของสำนักเลขาธิการบิมสเทคตามผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสบิมสเทค ครั้งที่ 23
1.2 ที่ประชุมฯ เน้นย้ำการฟื้นฟูเศรษฐกิจและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่บิมสเทคท่ามกลางวิกฤตทางเศรษฐกิจและการเมืองในปัจจุบัน โดยให้ความสำคัญต่อ (1) การเร่งสรุปผลการเจรจาเขตการค้าเสรี (2) การยกระดับความเชื่อมโยงภายในภูมิภาค และ (3) การเร่งรัดการดำเนินงานในสาขาความร่วมมือต่าง ๆ โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายดอน ปรมัตถ์วินัย) ได้กล่าวถ้อยแถลงเพื่อเน้นย้ำถึง (1) ความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับรัฐสมาชิกอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ภูมิภาคอ่าวเบงกอลมีความมั่งคั่ง ยั่งยืน ฟื้นคืน และเปิดกว้าง (Prosperous, Resilient and Open BIMSTEC หรือ PRO BIMSTEC) ตามร่างวิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030 (Bangkok Vision 2030) (2) การพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานชีวมวล ตามแนวคิดนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy Model: BCG Model) และ (3) การเสริมสร้างความเข้มแข็งเชิงสถาบันให้แก่ บิมสเทค
1.3 ที่ประชุมฯ ให้ความเห็นชอบเอกสารจำนวน 8 ฉบับ ได้แก่ (1) ร่างวิสัยทัศน์กรุงเทพฯ 2030 (จะเสนอแนะต่อที่ประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 เพื่อให้การรับรองต่อไป) (2) ร่างกฎระเบียบสำหรับกลไกการดำเนินงานภายใต้กรอบบิมสเทค (3) ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของคณะผู้ทรงคุณวุฒิว่าด้วยทิศทางในอนาคตของบิมสเทค (4) กฎการบริหารและการดำเนินการทางวินัยของสำนักเลขาธิการบิมสเทค (5) รูปแบบการรายงานผลสำหรับกลไกภายใต้สาขาความมั่นคงของความร่วมมือบิสเทค (6) ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเล (7) ความตกลงเจ้าบ้านระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดียกับสำนักเลขาธิการบิมสเทคว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์สภาพอากาศและภูมิอากาศของบิมสเทคที่ประเทศอินเดีย และ (8) การแก้ไขรายละเอียดในส่วนที่ 2 (การประมาณการและการจัดทำแผนงบประมาณประจำปี) ของกฎและระเบียบทางการเงินของสำนักเลขาธิการบิมสเทค รวมทั้งได้รับรองรายงานความคืบหน้าของการดำเนินกิจกรรมใน 7 สาขาความร่วมมือและสาขาย่อยของบิมสเทค นับตั้งแต่การประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบการผนวกรวมประเด็นเศรษฐกิจภาคทะเล เศรษฐกิจภาคภูเขาและการบรรเทาความยากจนให้อยู่ภายใต้การดูแลของสาขาหลักและสาขาย่อยของความร่วมมือบิมสเทคด้วย
2. กต. พิจารณาแล้วเห็นว่า การประชุมฯ มีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการต่าง ๆ เช่น
ประเด็น | การดำเนินการที่สำคัญ เช่น | หน่วยงานที่รับผิดชอบ |
(1) การค้า การลงทุนและ การพัฒนา | - การผลักดันการเร่งสรุปผลการเจรจา เขตการค้าเสรีบิมสเทคเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนภายในภูมิภาคและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภูมิภาค - การดำเนินการตามข้อริเริ่มจากการผนวกรวมเศรษฐกิจภาคทะเล (Blue Economy) ให้อยู่ภายใต้สาขาความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และการพัฒนา และผลักดันการจัดตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างรัฐบาลเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการสำหรับเศรษฐกิจภาคทะเล | กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) (กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง) กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) |
(2) สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | การเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อพัฒนากรอบปฏิบัติการระดับภูมิภาคว่าด้วยความร่วมมือและการประสานงานด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระหว่างรัฐสมาชิกบิมสเทค ตลอดจนการดำเนินการตามความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | ดศ. และ ทส. (กรมอุตุนิยมวิทยา) |
(3) ความมั่นคง - การต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ - การจัดการภัยพิบัติ | - การจัดการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยบิมสเทคและการดำเนินการตามรูปแบบของการรายงานผลสำหรับกลไกการหารือต่าง ๆ ที่ดำเนินการภายใต้สาขาความมั่นคงของความร่วมมือบิมสเทค - การดำเนินการตามอนุสัญญาบิมสเทคว่าด้วยความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และการลักลอบค้ายาเสพติด - การผลักดันการดำเนินการการค้าพลังงานและการปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งเครื่อข่ายความเชื่อมโยงโครงข่ายระบบไฟฟ้าบิมสเทค | เช่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) [สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.)] สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) |
(4) การเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร | การจัดทำความร่วมมือกับองค์กรระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศที่เหมาะสมเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในรูปแบบโครงการภายใต้สาขาการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร | กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) |
(5) การปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน | - การจัดทำแผนปฏิบัติด้านความร่วมมือทางวัฒนธรรมและการส่งเสริมการปฏิบัติงานของศูนย์ปฏิบัติการอุตสาหกรรมวัฒนธรรมบิมสเทค - การจัดทำร่างสุดท้ายของเผนปฏิบัติงานความร่วมมือด้านการพัฒนาและการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวบิมสเทค รวมถึงการใช้ประโยชน์จากกองทุนการท่องเที่ยวบิมสเทค | เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) และกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) |
(6) วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม | - การสนับสนุนให้คณะผู้เชี่ยวชาญว่าด้วยเทคโนโลยีจัดทำแผนปฏิบัติการสำหรับสาขาความร่วมมือย่อยเทคโนโลยี - การส่งเสริมให้คณะผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขจัดทำแผนปฏิบัติการสำหรับสาขาความร่วมมือย่อยสาธารณสุข | เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อว. และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) |
(7) ความเชื่อมโยง | - การดำเนินกระบวนการภายในเพื่อเรียมการลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเลในการประชุมผู้นำ ครั้งที่ 6 และการเริ่มกระบวนการจัดทำร่างระเบียบปฏิบัติของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเล เพื่อให้คณะกรรมการร่วมด้านการขนส่งหารือต่อไป - การเร่งรัดการปฏิบัติตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงด้านคมนาคม โดยให้คณะทำงานว่าด้วยความเชื่อมโยงด้านคมนาคมดำเนินงานตามกิจกรรมตามที่ตกลงไว้ในแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงด้านคมนาคมของบิมสเทค | กระทรวงคมนาคม (คค.) (เช่น กรมเจ้าท่า กรมการขนส่งทางบก และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่ง และจราจร) |
3. เรื่องดังกล่าวไม่เข้าข่ายมาตรา 169 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเนื่องจากไม่มีกรณีที่ต้องดำเนินการโดยใช้งบประมาณ และมีการตั้งงบประมาณในการดำเนินการไว้แล้วในงบประมาณรายจ่ายประจำปี รวมทั้งมิได้เป็นหนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
18. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ปักกิ่งสำหรับการประชุมระดับสูงว่าด้วยการปฏิบัติการระดับโลกเพื่อการพัฒนาร่วมกัน ครั้งที่ 1
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ปักกิ่งสำหรับการประชุมระดับสูงว่าด้วยการปฏิบัติการระดับโลกเพื่อการพัฒนาร่วมกัน ครั้งที่ 1 (Beijing Statement for the First High-level Meeting of Forum on Global Action for Shared Development) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ และ / หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสม โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง รวมทั้งเห็นชอบให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ฯ ดังกล่าวในห้วงการประชุมระดับสูงว่าด้วยการปฏิบัติการระดับโลกเพื่อการพัฒนาร่วมกัน ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 9-10 กรกฎาคม 2566 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีนตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญ
1. ร่างแถลงการณ์ฯ มีเนื้อหาเป็นการแสดงเจตนารมณ์ในการจัดการกับความท้าทายด้านการพัฒนาเพื่อเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยได้กล่าวถึงสถานการณ์และความท้าทายของโลกในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้การดำเนินการเพื่อบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ค.ศ. 2030 มีความคืบหน้าช้าลง และเห็นว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศต่าง ๆ บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
2. ร่างแถลงการณ์ฯ ได้เสนอแนวทางในการดำเนินการ อาทิ (1) การจัดการกับความท้าทายระดับโลกที่เร่งด่วนที่สุด อาทิ การลดความยากจน ความมั่นคงทางอาหาร และความมั่นคงด้านสาธารณสุข ซึ่งรวมถึงการรักษาห่วงโซ่อุปทานอาหารและสินค้าในอุตสาหกรรมเกษตรให้มีเสถียรภาพ (2) การเพิ่มการเนินงานในด้านต่าง ๆ อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาสีเขียว และการเชื่อมโยงในยุคดิจิทัล ให้มากขึ้นเพื่อให้มีแรงผลักที่ยั่งยืนสำหรับการพัฒนาระดับโลก (3) การมุ่งเน้นการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาดิจิทัล การส่งเสริมขีดความสามารถของบุคลากร รวมถึงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ สวนอุตสาหกรรม และอุทยานวิทยาศาสตร์ และ (4) การสร้างความร่วมมือใต้-เหนือ เพื่อการพัฒนาในรูปแบบใหม่และยกระดับความร่วมมือใต้-ใต้และความร่วมมือไตรภาคี
19. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารสุดท้าย (Draft Final Document) และร่างปฏิญญากรุงบากูของการประชุมคณะกรรมการประสานงานในระดับรัฐมนตรีของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Ministerial Meeting of the Coordinating Bureau of the Non-Aligned Movement: CoB-NAM)
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างเอกสารสุดท้าย (Draft Final Document) ของการประชุมคณะกรรมการประสานงานในระดับรัฐมนตรีของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Ministerial Meeting of the Coordinating Bureau of the Non-Aligned Movement: CoB-NAM) และร่างปฏิญญากรุงบากู ทั้งนี้ หากมี การแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไมใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยก่อนการรับรอง ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถใช้ดุลยพินิจดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งในการเจรจาและดำเนินการแก้ไข
2. ให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา ซึ่งได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว
3. หากถ้อยคำเรื่องทะเลจีนใต้ในเอกสารสุดท้ายฯ ไม่สอดคล้องกับท่าทีร่วมของอาเซียนในเรื่องนี้ ขออนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมลงนามในหนังสือแจ้งข้อสงวน (reservation) หรือหนังสืออื่น ๆ ที่เป็นการแจ้งท่าทีของอาเซียนต่อถ้อยคำในเอกสารสุดท้ายเช่นเดียวกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอื่น ๆ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของรัฐมนตรีอาเซียนต่อเอกสารสุดท้ายของการประชุม CoB-NAM ที่ผ่านมา
4. หากปรากฏว่า เนื้อหาหรือถ้อยคำของเอกสารสุดท้ายฯ และร่างปฏิญญากรุงบากูที่ได้รับรองในที่ประชุม CoB-NAM ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์และท่าทีไทยในสาระสำคัญ แสดงท่าทีเชิงลบ หรือมีถ้อยคำรุนแรงประณามประเทศอื่นใด อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งข้อสงวน (reservation) หรือแสดงท่าทีที่อธิบายอย่างระมัดระวังถึงเหตุผลของไทยซึ่งทำให้ไม่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือถ้อยคำดังกล่าวได้ ทั้งนี้ การแจ้งข้อสงวนเป็นแนวทางที่ไทยปฏิบัติมาโดยตลอด
สาระสำคัญ
ร่างเอกสารสุดท้าย (Final Document) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับท่าที พัฒนาการ และการดำเนินการของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในเรื่องต่าง ๆ ในระดับโลกและภูมิภาค อาทิ ปัญหาการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สิทธิมนุษยชนและการพัฒนาที่ยั่งยืน และการปฏิรูปสหประชาชาติ
ร่างปฏิญญากรุงบา มีสาระสำคัญย้ำหลักการต่าง ๆ ที่กลุ่ม NAM ให้ความสำคัญ เช่น การเคารพในอำนาจอธิปไตย การระงับกรณีพิพาทโดยสันติ การงดเว้นจากการคุกคามและใช้กำลังการร่วมกันตอบสนองต่อข้อท้าทายของโลกในปัจจุบัน และการธำรงไว้ซึ่งคุณค่าของระบอบพหุภาคีและความร่วมมือระหว่างประเทศ
แต่งตั้ง |
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (นักบริหารระดับต้น) ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง (กค.) ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 169 (2) แล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักงาน กปร. ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นายศุภรัชต์ อินทราวุธ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนา (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ) ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการพัฒนา (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2566
2. นายวิกรม คัยนันทน์ ที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ) ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2566
3. นางกมลินี สุขศรีวงศ์ ที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ) ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2566
และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 169 (2) แล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักงาน ก.พ. สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นางสาวกมลลักษณ์ อ้นอารี ผู้อำนวยการสำนักพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ผู้อำนวยการระดับสูง) ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาระบบราชการ (นักทรัพยากรบุคคลทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2566
2. นางอรวรรณ คงธนขันติธร ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน (ผู้อำนวยการระดับสูง) ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาระบบราชการ (นักทรัพยากรบุคคลทรงคุณวุฒิ) ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2566
และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 169 (2) แล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้ง นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 169 (2) แล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 5 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นายสมใจ วิเศษทักษิณ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นางสาววันเพ็ญ บุรีสูงเนิน รองศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 6 สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 8 สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายสุภชัย จันปุ่ม รองศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 7 สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 13 สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายประพัทธ์ รัตนอรุณ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
5. นายวิทวัต ปัญจมะวัต ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 169 (2) แล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
25. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สาขาการเงิน ในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้ง นายสมหมาย ลักขณานุรักษ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สาขาการเงิน ในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป
**********************