ในโลกยุคดิจิทัล ที่อะไร ๆ ก็สะดวกสบาย จะคุยกับเพื่อน อ่านบทความ
ติดตามความเคลื่อนไหวของสังคม หรือแม้แต่สั่งอาหาร ก็มักจะทำผ่านมือถือ หรือ
“สมาร์ตโฟน” ทั้งนั้น ทำให้โทรศัพท์มือถือเหมือนอวัยวะที่ 33 ของใครหลาย ๆ คนเลย เป็นทั้งเครื่องมือที่ใช้ดำรงชีวิต หาข้อมูลความรู้
และฆ่าเวลายามว่าง
แม้ว่าสมาร์ตโฟนจะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์ชีวิตยุคดิจิทัลได้เกือบทุกอย่าง
แต่ของทุกอย่างมีทั้งประโยชน์ และโทษถ้าเราใช้เกินพอดี ไม่เว้นแม้แต่สมาร์ทโฟน
ที่ถ้าเกิดอาการ “ติด” ขึ้นมาแล้ว ก็จะนำไปสู่การเป็นโรค “โนโมโฟเบีย” (Nomophobia)
ได้
โนโมโฟเบีย (Nomophobia) คือคำย่อของอาการ “no
mobile phone phobia” แปลตรงตัวก็คือโรคขาดมือถือไม่ได้
ซึ่งศัพท์คำนี้ถูกบัญญัติขึ้นเมื่อปี 2008 โดย YouGov
หรือองค์การวิจัยของสหราชอาณาจักร
เพื่อใช้เรียกอาการที่เกิดจากความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นเมื่อขาดโทรศัพท์มือถือ
หรือสมาร์ตโฟนเพื่อใช้ติดต่อสื่อสาร โดยที่อาการ “โนโมโฟเบีย”
จัดเป็นโรคจิตเวชประเภทหนึ่ง ที่อยู่ในกลุ่มของอาการวิตกกังวล
และด้วยชีวิตยุคดิจิทัลที่ต้องพึ่งพาสมาร์ตโฟนในการใช้ชีวิตประจำวัน
ทำให้คนส่วนใหญ่เป็นโรคนี้โดยไม่รู้ตัว มาสำรวจตัวเองกันดีกว่าว่า ติดมือถือแค่ไหน
ถึงเรียกว่าเป็นโนโมโฟเบีย ?
- ต้องมีโทรศัพท์อยู่ติดตัวตลอดเวลา
ถ้าไม่มีจะรู้สึกหงุดหงิด กระวนกระวาย
- หมกมุ่นอยู่กับการอัปเดตข้อมูลในสมาร์ตโฟน
ถึงไม่มีเรื่องด่วน ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบมือถือขึ้นมาดูแทบตลอดเวลา
- ถ้ามีเสียงเตือนหรือสัญญาณเตือนจากโทรศัพท์มือถือ
คุณจะหยุดทุกอย่างเพื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
ถ้าตอนนั้นคุณทำอะไรค้างไว้อยู่และไม่สามารถดูโทรศัพท์ได้ทันที
จะทำให้คุณขาดสมาธิจากกิจกรรมที่คุณทำค้างไว้ทันที
- หยิบโทรศัพท์เป็นอย่างแรก
ทันทีหลังตื่นนอน และก่อนนอนก็ต้องไถ่มือถือดูก่อนถึงจะนอนได้
- เล่นโทรศัพท์ระหว่างทำกิจกรรมต่าง
ๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นตอนรับประทานอาหาร เข้าห้องน้ำ ขับรถ นั่งรถเมล์
ขึ้นบีทีเอส รอคิวสั่งอาหาร
- กลัวโทรศัพท์ตัวเองหายมาก
ถึงมากที่สุด แม้ว่าจะเก็บไว้ในที่ปลอดภัยแล้วก็ตาม
- ไม่เคยปิดมือถือเลย
- พูดคุยกับเพื่อนออนไลน์มากกว่าคุยกับเพื่อนที่อยู่ตรงหน้าเวลานัดเจอกัน
- ตั้งใจลองงดเล่นมือถือ 1
ชั่วโมง แต่ทำไม่ได้
ทีนี้มาดูกันว่าโรคโนโมโฟเบียที่เป็นโรคทางจิต
จะสามารถทำให้เกิดโรคทางกายอะไรได้บ้าง
นิ้วล็อก
อาการปวดชาตามนิ้ว
และข้อมือ เส้นเอ็นข้อมืออักเสบ ซึ่งเกิดจากการเล่นมือถือ ที่ใช้มือกด จิ้ม สไลด์
และถือสมาร์ตโฟนต่อเนื่องเป็นเวลานาน ถ้าเริ่มรู้สึกว่านิ้วมือเริ่มแข็ง
ลองกำมือแล้วเหยียดขึ้นไม่ค่อยได้ แนะนำให้ไปพบแพทย์โดยด่วน
เสี่ยงวุ้นในตาเสื่อม
การเพ่งจอเล็ก ๆ
เป็นต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ หรือการเล่นโทรศัพท์ในที่มืด จะทำให้สายตาล้าได้
ซึ่งอาการเริ่มแรกอาจมีอาการตาแห้ง ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ
โดยไม่ยอมปรับพฤติกรรมอาจจะทำให้เกิดโรคจอประสาทตาและวุ้นในตาเสื่อมได้
ซึ่งอาจนำไปสู่อาการตาบอดได้เลย
ปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่
ท่าเวลาเล่นมือถือจะทำให้เราก้มหน้า
ค่อมตัวลงโดยไม่ตั้งใจ เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่ที่หน้าจอ เป็นสาเหตุให้คอ บ่า ไหล่ เกิดอาการเกร็งอย่างต่อเนื่อง เลือดไหลเวียนไม่สะดวก และหากเล่นนาน ๆ
ก็อาจจะมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย ควรเปลี่ยนพฤติกรรม หมั่นเปลี่ยนท่านั่ง
หรือวางมือถือลงบ้าง แล้วหันมายืดเส้นยืดสายก่อนที่อาการจะลุกลามไปมากกว่านี้
หมอนรองกระดูกเสื่อมก่อนวัยอันควร
เนื่องจากการนั่งผิดท่า
และนั่งเกร็งเป็นเวลานาน เวลาที่นั่งเล่นมือถือ
ซึ่งอาการหมอนรองกระดูกเสื่อมเป็นอาการที่ต่อเนื่องมาจากการปวดเมื่อย คอ บ่า ไหล่
หากปล่อยไว้จนมาถึงขั้นนี้แล้ว อาจจะต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเลยทีเดียว
โรคอ้วน
โรคนี้ถึงจะไม่ได้เป็นผลกระทบโดยตรงจากการติดเล่นมือถือ
แต่ก็เป็นโรคทางอ้อมที่หลาย ๆ อาจคาดไม่ถึง
เพราะการเอาแต่เล่นโทรศัพท์โดยที่ไม่ลุกไปทำกิจกรรมอย่างอื่นเลย
ทำให้เราขยับร่างกายน้อยลงมาก และยิ่งถ้ากินเยอะขึ้นแต่ขยับร่างการน้อยลง
ทำให้การเผาผลาญพลังงานก็น้อยลง
ก็อาจทำให้เกิดการสะสมของไขมันจะกลายเป็นโรคอ้วนได้ง่าย ๆ
แม้ว่าอาการโนโมโฟเบีย (Nomophobia)
จะจัดเป็นโรคจิตเวชแบบอ่อน ๆ
ที่ไม่ได้รุนแรงจนต้องไปพบแพทย์เพื่อการรักษา
แต่ก็เป็นสาเหตุของโรคทางการที่อันตรายหลายโรคเลยทีเดียว ถ้าสำรวจตัวเองแล้วว่า
เราก็เข้าข่ายมีอาการโนโมโฟเบีย (Nomophobia) แล้วล่ะก็
ทางที่ดีแนะนำให้เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน
ลองหากิจกรรมให้ตัวเองทำที่ไม่ใช่การเล่นมือถือ หรือดูหนังผ่านมือถือดู
อาจจะลองเปลี่ยนเป็นการไปวิ่งออกกำลังการในสวน หรือหากิจกรรมทำกับเพื่อนที่ต้องอาศัยการพูดคุย
และร่วมทำกิจกรรมกันต่อหน้า เพื่อลดอาการ “ติดมือถือ” ที่เป็นอยู่ให้เบาบางลงบ้าง