วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

โทษทางวินัย

 


โทษทางวินัย

ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง  > ไล่ออก  ปลดออก

 ความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง > ลดเงินเดือน  ตัดเงินเดือน  ภาคทัณฑ์

ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 80  ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องรักษาวินัยโดยกระทําการ หรือไม่กระทําการตามที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้โดยเคร่งครัดอยู่เสมอ มาตรา 88  ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทําผิดวินัยจะต้องได้รับโทษทางวินัย เว้นแต่มีเหตุอันควรงดโทษ


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.facebook.com/sharedsaradd/


วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

สืบสวน ต่างกับ สอบสวน อย่างไร

 


สืบสวน ต่างกับ สอบสวน อย่างไร

สืบสวน >> แสวงหาข้อเท็จจริงด้วยวิธีการต่าง ๆ

สอบสวน >> หาข้อเท็จจริงด้วยการซักถาม


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.facebook.com/sharedsaradd/


วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

คำพูดสั้น ๆ ที่สำคัญ "ขอบคุณ" "ขอโทษ"

 


คำพูดสั้น ๆ ที่สำคัญ "ขอบคุณ" "ขอโทษ"

ขอบคุณ เป็นคำพูดที่ใช้เมื่อมีคนแสดงน้ำใจ หรือให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะด้วยคำพูด หรือการกระทำ

ขอโทษ เป็นคำพูดที่บอกถึงความรู้สึกเสียใจ รู้สึกผิด ที่ได้ทำให้คนอื่นเสียใจ

คำพูดสั้น ๆ ที่เป็นพลังบวกในการสนทนาอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าพูดมีหางเสียง นะคะ, ค่ะ, ครับ และมีน้ำเสียงที่จริงใจด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้การสนทนาได้รับความร่วมมือและความช่วยเหลือมากขึ้น


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.facebook.com/sharedsaradd/


 


รู้เท่าทันโรค ฝีดาษลิง !
โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae พบได้ในสัตว์หลายชนิด ไม่ใช่แค่ลิง พบได้ในสัตว์ตระกูลฟันแทะ เช่น กระต่าย กระรอก หมู และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก
ฝีดาษลิง ติดยากกว่าที่คิด ส่วนใหญ่ติดต่อจากคนสู่คน เกิดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย เช่น ตุ่มหนอง แผล และสารคัดหลั่ง แต่ ! ผู้ป่วยจะหายจากโรคได้เองใน 2-4 สัปดาห์

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

 


กระทรวงแรงงาน เดินหน้าเชื่อมโยงข้อมูลตำแหน่งงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผ่านแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ”

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ในปี 2565 กระทรวงแรงงานมีเป้าหมายขับเคลื่อนงานบริการระบบช่วยเหลือผู้ว่างงานให้กลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่ว่างงาน สามารถใช้บริการหางานอย่างสะดวกสบายและสามารถรับความช่วยเหลือผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งจะประหยัดเวลา ลดภาระของประชาชน

โดยระบบบริการจะครอบคลุมตั้งแต่การแจ้งว่างงาน การขอรับสิทธิต่างๆ จากการว่างงาน การฝึกอบรม การจัดหางาน การจับคู่ผู้ว่าจ้างและแรงงาน ทั้งหมดได้เชื่อมโยงข้อมูลบนแพลตฟอร์มไทยมีงานทำและระบบบริการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ด้านนายไพโรจน์ โชติกสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ได้พัฒนาแพลตฟอร์มไทยมีงานทำให้บริการคนหางานที่กำลังมองหางานที่เหมาะสมกับตนเอง โดยรวบรวมตำแหน่งงานจากภาครัฐ ภาคเอกชน และตำแหน่งงานจากบริษัทจัดหางานชั้นนำไว้หลายตำแหน่ง ด้วยระบบจะจับคู่ตำแหน่งงานตามความรู้ ความสามารถ และทักษะที่มีอยู่ อีกทั้งยังให้บริการสำหรับนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่ต้องการประกาศรับสมัครงานโดยไม่เสียค่าบริการ นอกจากนี้ยังรวบรวมหลักสูตรฝึกอบรมทั้งระยะสั้นและระยะยาวของหน่วยงานต่างๆ ไว้ให้บริการ

ประชาชนที่ต้องการมีงานทำ สามารถใช้บริการผ่านระบบออนไลน์ บนแพลตฟอร์มไทยมีงานทำ ซึ่งให้บริการรูปแบบแอพพลิเคชัน และบนเว็บไซต์ ไทยมีงานทำ.doe.go.th

 

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

 


นายกฯ แนะประชาชนที่จะเดินทางช่วงวันหยุดยาวนี้ ใช้บริการขนส่งสาธารณะด้วยความปลอดภัย “เว้นระยะห่าง สวมแมสก์” ลดเสี่ยงโควิด-19 ป้องกันอุบัติเหตุ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ห่วงใยประชาชน ในช่วงวันหยุดยาวติดต่อกัน 28-31 ก.ค.นี้ ขอให้ประชาชนดูแลตนเอง ปฏิบัติตนตามมาตรการ Universal Prevention อย่างเคร่งครัด เว้นระยะห่าง สวมแมสก์ เมื่อจะออกเดินทางท่องเที่ยว รวมถึงผู้ที่จะใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ และขณะที่อยู่ในสถานที่ที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อโควิด-19

รวมทั้งระมัดระวังความปลอดภัยในการเดินทางบนท้องถนน ตรวจสภาพยานพาหนะ ปฏิบัติตามกฎจราจร ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุด้วย


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/ 

การใช้ราชาศัพท์ ในคำขึ้นต้น สรรพนาม คำลงท้าย ในการเขียนหนังสือ กราบบังคมทูล กราบทูล ทูล

 




 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.facebook.com/sharedsaradd/


วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

9 เรื่องที่ต้องรู้! ก่อนเรียน Digital Transformation หลักสูตรที่เจาะลึกรอบด้านโดย ADTE by ETDA

 



9 เรื่องที่ต้องรู้! ก่อนเรียน Digital Transformation หลักสูตรที่เจาะลึกรอบด้านโดย ADTE by ETDA

ในยุคที่มีการแข่งขันสูง Digital Transformation คือส่วนสำคัญในการสร้างศักยภาพในการแข่งขัน ทำให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างเท่าทันเทคโนโลยีและมีการพัฒนาไปสู่สิ่งที่ลูกค้าคาดหวัง แต่ก็ยังมีอีกหลายองค์กรที่ยังคงไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน หรือแม้แต่ Digital transformation แท้จริงแล้วมันคืออะไร? ที่ ADTE by ETDA มีคำตอบ

Digital Transformation คืออะไร?

คือกระบวนการในการนำเทคโนโลยีมาสร้างสิ่งใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงสิ่งเก่าในการดำเนินธุรกิจ ให้เหมาะสมกับธุรกิจในยุคดิจิทัลที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น การเปลี่ยนจากการทำงานด้วยเอกสารในรูปแบบกระดาษ มาเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์หรือออนไลน์ เช่น การเซ็นเอกสารอนุมัติงานผ่านออนไลน์ (e-Signature) หรือแม้แต่การนำส่งใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีผ่านอีเมล

messageImage_1655710615021.jpg

Digital Transformation สำคัญสำหรับองค์กรในปัจจุบันอย่างไร

ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีมีเข้ามามีบทบาทสำคัญมากในชีวิต จะเห็นหลาย ๆ องค์กรเริ่มหันมาให้ความสนใจกับการลงทุนในเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อพัฒนาให้ระบบการทำงานมีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน อีกทั้งการนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมศักยภาพในการทำงานยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเอกสารที่จากเดิมเป็นรูปแบบกระดาษเปลี่ยนมาเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยใช้ Digital Signature ควบคู่ในการทำงานเพื่อให้ตรวจสอบการแก้ไขเปลี่ยนแปลงของเอกสารหลังจากลงลายมือชื่อดิจิทัลได้ และหากมีการใช้ไฟล์ประเภทที่ให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถนำไปประมวลผลได้ ก็จะเพิ่มความรวดเร็วในการนำไปประมวลผลข้อมูลอีกด้วย

Digital Transformation ถ้าองค์กรไม่เปลี่ยนแปลงจะส่งผลอะไรบ้าง

แน่นอนว่าองค์กรของคุณจะกลายเป็นองค์กรที่ล้าหลัง ตกเทรนด์กว่าคู่แข่ง เพราะทุกวันนี้ หลาย ๆ องค์กรเริ่มเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานเป็นดิจิทัลกันแล้ว แม้แต่ภาครัฐเองก็พยายามผลักดันให้หน่วยงานบริการด้วยรูปแบบดิจิทัลมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ การปรับหากทำได้ช้าก็จะส่งผลต่อการดำเนินงานให้ทันคู่แข่ง ทั้งการบริการอาจจะทำได้ล่าช้ากว่า ใช้เวลาและขั้นตอนที่นานกว่า ตลอดจนความคล่องตัวในการทำงาน เพราะดิจิทัลจะทำให้ทุกคนสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ จะเห็นได้ว่าการนำ Digital มาช่วยในการ Transform ธุรกิจหรือองค์กร ยังจะช่วยให้ทำงานประสานกับคู่ค้าทางธุรกิจได้ง่ายขึ้น ทั้งกระบวนการแบ่งปันข้อมูล และกระบวนการเชื่อมต่อระบบระหว่างองค์กรเพื่อส่งต่อข้อมูล หรือเรียกกันว่าเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยให้การรับ-ส่งเอกสารสะดวกแค่เพียงคลิกส่งและยังตรวจสอบแหล่งที่มาของเอกสารหรือข้อมูลได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

ทิศทางของ Digital Transformation ในอนาคตจะเป็นอย่างไร

กระแสของ Digital Disruption ในปัจจุบัน ทำให้เกิดแนวโน้ม Digital Transformation รุนแรงขึ้น โดยทุกองค์กรจะก้าวสู่ยุคที่ 2.0 เพราะเข้าถึงเทคโนโลยีง่ายขึ้น เช่น การเข้ามาของระบบ AI และ Cloud Computing จะทำให้การพัฒนาระบบไอที ซึ่งแต่ก่อนอาจมีความซับซ้อน ต้องใช้นักไอทีเก่ง ๆ มาพัฒนา กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น จนใครก็เริ่มทำได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นเมื่อการพัฒนาระบบไอทีเป็นเรื่องง่าย องค์กรต่าง ๆ เริ่มนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้มากขึ้น จนทำให้การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทำได้อย่างรวดเร็ว

เทคโนโลยีในวันนี้ สามารถนำมาใช้กับ Digital Transformation ได้อย่างไรบ้าง

ในส่วนของ Digital Transformation ในองค์กร ที่จำเป็นต้องใช้เอกสารเป็นจำนวนมาก เรื่องของ e-Document Life Cycle (วัฏจักรของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์) จึงเป็นสิ่งสำคัญ ตั้งแต่การสร้างเอกสาร การลงลายมือชื่อ และการรับ-ส่งเอกสาร รวมไปถึงการยกเลิก การต่ออายุ การตรวจสอบ สามารถที่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในส่วนต่าง ๆ ได้ อย่างเช่น การใช้ไฟล์ Microsoft Word หรือไฟล์ PDF ก็ถือว่าเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อต้องลงนามบนเอกสาร เราสามารถใช้ Electronic Signature หรือ Digital Signature ลงนามได้ ในกรณีของการรับ-ส่งเอกสาร เราสามารถใช้ช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น e-mail, chat หรือว่า Digital Service ที่พัฒนาขึ้นมาใช้ในองค์กร นอกจากนั้นยังมีในส่วนของการตรวจสอบเอกสาร ซึ่งการตรวจสอบเอกสารที่ลงนามด้วยลายมือชื่อดิจิทัล ในกรณีที่จะตรวจสอบว่าลายมือชื่อดิจิทัลนั้นถูกต้องหรือไม่ สามารถเช็คได้ที่ Adobe Acrobat Reader หรือว่าผลิตภัณฑ์ของ ETDA เองก็คือเว็บ Validation สามารถนำไฟล์ XML หรือว่า PDF เข้าไปตรวจสอบลายมือชื่อดิจิทัลได้ ซึ่งเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ไม่จำเป็นจะต้องเป็นแค่ Microsoft Word, Microsoft Excel, Microsoft Powerpoint หรือ PDF ยังรวมถึงไฟล์ HML หรือ Json ได้อีกด้วย

ภาครัฐมีส่วนช่วยในการTransformมากน้อยแค่ไหน

ภาครัฐมีส่วนช่วยผลักดันให้เกิดการทำ Digital Transformation โดยมีการร่าง พรบ. ปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ออกมาบังคับใช้ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ปัจจุบันยังเป็นฉบับร่างอยู่ แต่ว่าต่อไปหลังจากที่กฎหมายฉบับนี้บังคับใช้เมื่อไหร่ ภาครัฐเองก็จะปรับตัวให้บริการประชาชนในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการรับ-ส่งเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น สำหรับ ETDA เอง หนึ่งในภารกิจสำคุญก็คือการส่งเสริมธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เราพยายามผลักดันให้เกิด Ecosystem ของการทำธุรกรรมทางออนไลน์ ที่มีความน่าเชื่อถือ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการใช้งาน และสอดคล้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพราะจากประเด็นถกเถียงในอดีตที่กังวลกับการใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลักฐานในชั้นศาล ปัจจุบัน เอกสารอิเล็กทรอนิกส์สามารถพิสูจน์และใช้ในชั้นศาลได้แล้ว ซึ่งถือเป็นหนึ่งในภารกิจของ ETDA ที่ได้ผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาทั้งในส่วนของกฎหมาย และมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในมิติต่างๆ เพื่อรองรับการทำธุรกรรมทางออนไลน์ที่พัฒนาไปตามเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง

อนาคตของ Digital Transformation กับสิ่งที่ส่งผลต่อคนทำงาน

ปัจจุบันนี้อย่างที่รู้กันว่า เราทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาด Covid-19 ทำให้ต้องปรับรูปแบบการทำงานเป็นแบบ Work from Home (WFH) หรือทำงานที่บ้าน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องปรับตัวในการทำงานในรูปแบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้องค์กร และภาคธุรกิจก็ต้องพัฒนารูปแบบการทำงานให้สามารถเอื้อต่อการทำงานออนไลน์ ถ้าองค์กรต่างๆ ปรับตัวเป็น Digital Transformation ได้ก็สามารถที่จะแข่งขันกับคู่แข่งได้ การที่องค์กรทรานส์ฟอร์มเป็นดิจิทัล ไม่ใช่แค่การนำเครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ ถ้าองค์กรมีจุดมุ่งหมายเพื่อ Digital Transformation การเตรียมบุคลากรให้มีความพร้อมสำหรับเทคโนโลยีเหล่านั้นถือเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้การที่พนักงานเข้าใจภาพธุรกิจดิจิทัลและเป้าหมายของบริษัทก็จะช่วยเสริมศักยภาพในการพัฒนาองค์กรให้เป็นดิจิทัลได้ง่ายขึ้น โดยสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่การฝึกอบรม ไปจนถึงการแบ่งปันความรู้ (Sharing Session) ระหว่างแผนกในองค์กร

การเริ่มปรับใช้ Digital Transformation กับธุรกิจ ควรเริ่มอย่างไร

หากต้องการเริ่มปรับกระบวนการทำงานขององค์กรให้เป็นดิจิทัล ปัญหาหนึ่งที่องค์กรต้องเจอคือจะเริ่มต้นอย่างไรได้บ้าง สิ่งสำคัญก่อนจะ Transform หรือเปลี่ยนแปลงสิ่งใดๆ ก็ตาม ควรจะเริ่มต้นจากการสำรวจความพร้อมขององค์กรก่อน ทั้งในด้านงบประมาณ อุปกรณ์ กระบวนการดำเนินงาน นโยบายและทิศทางขององค์กร ตลอดจนสิ่งสำคัญ คือ ทรัพยากรบุคคลในองค์กรที่จะต้องมีความรู้ หรือ Knowledge เพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรได้อย่างแท้จริง เพราะถึงแม้จะมีกฎหมายรองรับ แต่หากคนในองค์กรยังขาดความเชื่อมั่นในการใช้งาน ก็อาจจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพยายามเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานในองค์กรได้

ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มเปลี่ยนธุรกิจให้เป็นดิจิทัล ควรมี 3 ขั้นตอนเพื่อเป็นการเช็คว่าองค์กรของคุณมีความพร้อมแล้วหรือยัง โดย

หลักสูตร Digital Transformation ของ ADTE แตกต่างจากที่อื่นอย่างไร

  1. ประเมินความสามารถขององค์กรในปัจจุบัน หลายๆ องค์กรมักติดกับดักโดยมุ่งเน้นแต่การนำดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจจนลืมดูความพร้อมของ resource ภายในองค์กรว่าสามารถรองรับการเป็นดิจิทัลได้แล้วหรือยัง ดังนั้น เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายของการทำให้ธุรกิจเป็นดิจิทัลได้สำเร็จ ผู้บริหารต้องวางประเมินความพร้อมของ Resource ภายในให้สอดคล้องกับเป้าหมายเพื่อให้เห็น Roadmap การไปสู่ Digital Transformation ในระดับต่อไปได้อย่างชัดเจน
  2. วางเป้าหมายที่เหมาะสมกับองค์กร เป้าหมายในการทำดิจิทัล ควรเป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้ตามความสามารถขององค์กร โดยเริ่มจากการสร้าง Quick win หรือสิ่งที่สามารถทำให้สำเร็จและเห็นผลลัพธ์โดยง่าย เพื่อสร้าง Momentum ให้เกิดขึ้นในองค์กร
  3. ระบุ Resource หรือความสามารถที่ต้องมี เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ในแต่ละระดับของการขับเคลื่อนดิจิทัล ก็มีความท้าทายที่แตกต่างกันไป หลังจากที่องค์กรระบุเป้าหมายที่ต้องการไปให้ถึงแล้ว ต้องระบุ Resource/ความสามารถ ที่องค์กรต้องวางแผนพัฒนาควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้จริง
  4. ADTE เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญ ที่พร้อมจะถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านการเรียน ทั้งในรูปแบบ Online และ Onsite เพื่อรองรับความต้องการของคนในยุคดิจิทัล ที่ต้องการยกระดับทักษะ ความรู้ความสามารถ และนำไปต่อยอดธุรกิจได้ ไม่ว่าจะเป็น ด้านกฎหมายดิจิทัล ด้านมาตรฐานธุรกรรมออนไลน์ ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ฯลฯ หรือสิ่งที่ธุรกิจบริการจำเป็นต้องใช้งานในอนาคต อย่าง e-Signature และ Digital ID เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ และร่วมส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลไทยให้เติบโตและแข่งขันได้ในเวทีโลก
    นอกจากจะมีทีมผู้เชี่ยวชาญ ETDA คือผู้อยู่เบื้องหลังของการจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวมาตรฐาน และมาตรการหรือกลไกการกำกับดูแลที่เที่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสามารถใช้เทคโนโลยีที่สอดคล้องและเชื่อมโยงกัน อย่างมีความมั่นคงปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือ ทำให้มั่นใจได้ว่าคุณจะได้ความรู้ครบครันสามารถนำไปใช้งานได้อย่างถูกต้อง ตรงตามมาตรฐานแน่นอน

หลักสูตรนี้ทางผู้เรียนจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง

วันที่ 1
EP1 : Smart Digital Transformation Organization Life Cycle ที่จะทำให้เกิดบริการรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เน้นปูพื้นฐานจะปรับกลยุทธ์ขององค์กรอย่างไร การเตรียมทรัพยากรต่างๆ ก่อนจะเริ่ม Transformation
EP 2 : Smart Digital Law ลงลึกในมุมของกฎหมาย แนะนำการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่สอดคล้องตามกฎหมายบังคับใช้
วันที่ 2
EP 3: Smart Digital Standards ลงลึกในมุม Digital Transformation กับข้อเสนอและมาตรฐานและการรองรับ
วันที่ 3
ลงมือปฏิบัติจริง Workshop แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประเมินความพร้อมตนเองและองค์กรสู่ Digital Transformation

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.etda.or.th/

ETDA พาดู 6 องค์กรรัฐ ใช้ดิจิทัลบริการประชาชน ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล

 

ETDA พาดู 6 องค์กรรัฐ ใช้ดิจิทัลบริการประชาชน ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล

การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลให้มีคุณภาพ ให้ประเทศทะยานไปข้างหน้าด้วยศักยภาพที่แข็งแกร่งและแข่งขันในตลาดนานาชาติยุคดิจิทัลได้ ย่อมเกิดจากความร่วมมือกันทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่จะต้องปรับตัวเพื่อสร้าง Digital Framework ทั้งระบบการทำงานและการเตรียมพร้อมให้คนไทยเติบโตไปพร้อมกัน สำหรับ “ภาครัฐ” ที่นับเป็นภาคส่วนสำคัญของประเทศ ต่างก็เร่งทรานส์ฟอร์ม เปลี่ยนผ่านสู่หน่วยงานดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐในการให้บริการและการติดต่อสื่อสารแก่ผู้เข้ามาใช้บริการ ทั้งเอกชน ประชาชน และหน่วยงานรัฐด้วยกันเอง

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะหน่วยงานที่มุ่งส่งเสริม สนับสนุน ให้ทุกภาคเกิดการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่มั่นคงปลอดภัยน่าเชื่อถือ เกิดการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทำงานและการทำธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างระบบนิเวศน์ของการทำธุรกรรมทางออนไลน์ที่ปลอดภัยน่าเชื่อถือ จึงไม่ลืมที่จะพาทุกคนไปทำความรู้จักและอัปเดตกับ 6 องค์กรรัฐที่นำ “เทคโนโลยีดิจิทัล” มาให้บริการประชาชน ดังนี้

1-กรมการปกครอง-กระทรวงมหาดไทย.jpg

1. กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย

ให้บริการงานทะเบียนราษฎร ไม่ต้องรอ จองคิวง่ายผ่านออนไลน์!
เปิดให้บริการงานทะเบียน และบัตรประชาชนรูปแบบใหม่ “New Normal” มาต่อเนื่องตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 โดย กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เปิดให้ประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่ปริมณฑลและต่างจังหวัด สามารถจองคิวหรือนัดหมายเพื่อเข้ารับบริการล่วงหน้าได้ทางออนไลน์ ผ่านทางเว็บไซต์ Q-online.bora.dopa.go.th เพื่อลดการแออัดและประหยัดเวลาของประชาชนที่มาใช้บริการที่สำนักงาน โดยประชาชนสามารถจองวันที่และเวลาล่วงหน้าภายใน 15 วันที่ต้องการใช้บริการ ซึ่งระบบนัดหมายขอรับบริการล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์นี้ให้บริการถึง 15 รายการ ที่เกี่ยวข้องกับงานทะเบียนราษฎร งานทะเบียนทั่วไป งานบัตรประจำตัวประชาชน อาทิ การขอมีบัตรประจำตัวประชาชน การจดทะเบียนสมรส การจดทะเบียนหย่า และการยื่นคำขอแจ้งการย้ายที่อยู่ปลายทาง นอกจากนี้ยังพัฒนาแอปฯ D.DOPA (ดีดอทโดปา) ที่ให้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือ Digital ID มาอำนวยความสะดวกในการติดต่อรับบริการงานทะเบียนบ้านดิจิทัล อย่าง การย้ายทะเบียนบ้านออนไลน์ และรับบริการภาครัฐ ง่ายๆ เพียงแค่โหลดแอปฯ D.DOPA ในมือถือแล้วนำบัตรประชาชนไปลงทะเบียนขอรับ Digital ID ที่สำนักงานเขตทั่วประเทศ

2-กรมสรรพากร.jpg

2. กรมสรรพากร

ให้บริการยื่นภาษีออนไลน์ ทันใจ ทำได้ทุกที่ทุกเวลา
การยื่นภาษีที่ยุ่งยากของมนุษย์วัยทำงานหลายๆ คน วันนี้สะดวก รวดเร็ว ม้วนเดียวจบยิ่งขึ้น เพราะตั้งแต่ 6 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา กรมสรรพากร เปิดให้บริการระบบยื่นแบบและชำระภาษีออนไลน์ระบบใหม่ หรือ New e-Filing ผ่านทางเว็บไซต์ efiling.rd.go.th ที่สามารถยื่นภาษีได้รวดเร็ว ทันใจ ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ที่สำคัญ รองรับการยื่นภาษีทุกรูปแบบ เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เป็นต้น ซึ่งเริ่มต้นการใช้งานง่ายๆ เพียงเข้าเว็บไซต์ สมัครสมาชิก และเข้าสู่ระบบด้วยเลขบัตรประจำตัวประชาชนและรหัสที่ตั้งไว้ และเพื่อป้องกันการยื่นภาษีโดยไม่สุจริต ระบบจะส่งรหัส OTP (One Time Password) ให้ผู้ใช้บริการผ่าน SMS เบอร์โทรศัพท์มือถือที่ใช้ในปัจจุบันเพื่อกรอกยืนยันตัวตนทางดิจิทัล จากนั้นระบบจะเช็คข้อมูลทั้งหมดและส่งคำแนะนำการคำนวณภาษีมาให้ผู้ใช้บริการเพื่ออัปโหลดไฟล์ข้อมูลเพิ่มเติม สุดท้ายระบบจะคำนวณภาษีให้อัตโนมัติและสรุปยอดภาษีที่ต้องชำระให้ พร้อมส่งผลการยื่นแบบไปที่อีเมลที่ได้ลงทะเบียนไว้ด้วย นอกจากนี้ ในกรณีผู้ใช้บริการต้องการยื่นข้อมูลเพิ่มก็สามารถเข้าไปแก้ไขในระบบได้ทันทีภายใต้เวลาที่กำหนดอีกด้วย

3-กรมการกงสล-กระทรวงการตางประเทศ.jpg

3. กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ

จองคิวทำพาสปอร์ตออนไลน์ สะดวก ไม่ต้องกรอกเอกสารเพิ่ม
หนึ่งในบริการยอดนิยมที่ประชาชนไทยเข้าใช้บริการของ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ คือ การทำพาสปอร์ตเพื่อใช้ในการเดินทางระหว่างประเทศ โดยกรมการกงสุล มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับรูปแบบการให้บริการทำพาสปอร์ตเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกและประหยัดเวลาให้แก่ประชาชน โดยผู้ใช้บริการสามารถจองคิวล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ https://www.qpassport.in.th โดยเมื่อถึงวันที่เข้าไปใช้บริการก็ไม่ต้องกรอกเอกสารเพิ่มเติม เพียงกดบัตรคิวในช่องสำหรับผู้ที่จองคิวออนไลน์ รับบัตรคิวแล้วรอเจ้าหน้าที่เรียกเพื่อถ่ายรูป ชำระค่าบริการและรอรับเล่มพาสปอร์ตภายใน 2-7 วัน

4-กรมพฒนาธรกจการคา-กระทรวงพาณชย.jpg

4. กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

จดทะเบียนการค้าออนไลน์ ไม่ต้องเสียเวลา Walk-in ขนกองเอกสาร
ปรับวิถีเดิมๆ จากการหอบเอกสารกองโต Walk-in มาจดทะเบียนการค้าที่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปลี่ยนเป็นก้าวสู่โลกออนไลน์ ให้บริการประชาชนสามารถจดทะเบียนการค้าทางออนไลน์ด้วยตนเองได้ ง่ายๆ ผ่าน DBD e-Registration หรือที่ลิงก์ https://ereg.dbd.go.th/ERegistMemberWeb/nonmemberpages/home.xhtml ที่ยกระดับการจดทะเบียนการค้าให้สะดวกรวดเร็ว และจดทะเบียนได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง จากนั้นเปิดใช้งานแอคเคาท์ผ่านทางอีเมล และเข้าสู่ระบบเพื่อยื่นคำขอจดทะเบียน พร้อมกรอกข้อมูลการจดทะเบียน ซึ่งนายทะเบียนจะตรวจข้อมูลภายใน 2-5 วัน พร้อมแจ้งผลกลับมาที่อีเมล หากได้รับการอนุมัติคำขอการจัดตั้ง จึงจะสามารถลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature) กรอกยืนยันคำขอการจดทะเบียนและชำระค่าธรรมเนียม สุดท้ายรอรับใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัททางไปรษณีย์ หรือสามารถดาวน์โหลดในรูปแบบ PDF ได้จากระบบ นับว่าลบภาพจำการถือเอกสารหลายฉบับไปที่สำนักงานเลยทีเดียว

5-ไปรษณยไทย.jpg

5. ไปรษณีย์ไทย

e-Timestamp บริการประทับรับรองเวลาอิเล็กทรอนิกส์ การันตีเอกสารดิจิทัล
การใช้งานเอกสารสำคัญเพื่อการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์หรือบริการต่างๆ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ยังคงเป็นเรื่องเมินเฉยไม่ได้ โดยเฉพาะความถูกต้องและความปลอดภัย และยิ่งเป็นเอกสารที่ถูกส่งผ่านระบบขนส่งด้วยแล้วยิ่งสำคัญทีเดียว โดย ไปรษณีย์ไทย หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้เชี่ยวชาญการให้บริการจัดส่งเอกสารและสิ่งของ จึงเปิดบริการใหม่อย่าง e-Timestamp ซึ่งเป็นบริการประทับรับรองเวลาอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อการันตีรับรองความถูกต้องลงบนเอกสารอิเล็กทรอนิกส์สำคัญๆ ให้แก่หน่วยงานรัฐและเอกชน เช่น ใบกำกับภาษี ใบแจ้งหนี้ ใบแสดงผลการศึกษา ใบรับรองแพทย์ หรือเอกสารสำคัญต่างๆ ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้ข้อมูลหรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ว่าเป็นเอกสารจากหน่วยงานนั้นๆ ในช่วงเวลานั้นจริงๆ ซึ่งช่วยให้การทำธุรกรรมผ่านเอกสารดังกล่าวมีปลอดภัยตลอดการใช้งาน และมีผลทางกฎหมายได้ด้วย

6-กรมการขนสงทางบก.jpg

6. กรมการขนส่งทางบก

จองคิวทำใบขับขี่ออนไลน์ เช็คคิววันว่างง่าย ช่วยจัดการชีวิตลงตัว
บริหารจัดการชีวิตลงตัวขึ้น สำหรับใครที่ต้องการทำใบขับขี่ใหม่หรือใบขับขี่หมดอายุ ด้วย กรมการขนส่งทางบก ให้บริการจองคิวออนไลน์ล่วงหน้าเพื่อทำใบขับขี่ ผ่านแอปพลิเคชัน DLT SMART QUEUE หรือเว็บไซต์ https://gecc.dlt.go.th/ ซึ่งผู้ใช้บริการเมื่อลงทะเบียนแล้ว สามารถล็อกอินด้วยหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมรหัสผ่าน ก็สามารถเข้าไปเลือกสำนักงานที่ต้องการ เลือกประเภทใบอนุญาตขับรถทั้งใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล ใบอนุญาตรถสาธารณะ และใบอนุญาต พรบ.ขนส่ง พร้อมเลือกวันและเวลาที่สะดวกเข้าใช้บริการได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบก ยังสร้างแอปพลิเคชัน DLT QR Licence ที่นำใบขับขี่ของเราไปอยู่บนในรูปแบบดิจิทัลบนสมาร์ทโฟน ที่สามารถใช้แสดงแทนบัตรใบขับขี่ต่อเจ้าหน้าที่ได้เลยและแอปพลิเคชัน DLT Vehicle Tax สำหรับชำระภาษีรถยนต์ออนไลน์ ทำได้ทุกที่ทุกเวลาอีกด้วย

 


เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 คณะรัฐมนตรีมีมติให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งดำเนินการตามแนวทางประหยัดพลังงานในหน่วยงานภาครัฐ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ภาคเอกชนและประชาชน พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายให้ประหยัดพลังงานได้ไม่น้อยกว่า 20% โดยรายงานผลการดำเนินการผ่านเว็บไซต์ของกระทรวงพลังงาน e-report.energy.go.th ซึ่งแบ่งการประเมินผลเป็น 2 ด้าน คือ การลดใช้ไฟฟ้า และการลดใช้น้ำมันเชื้อเพลิง นั้น

ผลประหยัดพลังงาน รอบ 3 เดือน (เดือนมีนาคม – เดือนพฤษภาคม 2565) ที่ผ่านมา ผลการใช้ไฟฟ้าลดลงได้ 16.3 ล้านหน่วย หรือลดลง 5.0% คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ ประมาณ 65.3 ล้านบาท และ ผลการใช้น้ำมันลดลงได้ 1.6 แสนลิตร หรือลดลง 0.8% คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ ประมาณ 6.6 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564

 

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.facebook.com/กระทรวงพลังงาน/

CLEAR พร้อมแชร์ 2 EP.10 เคลียร์ข้อสงสัย ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอ...

คำถามแบบภาษาทางการ

 คำถามแบบภาษาทางการ


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.facebook.com/sharedsaradd/


วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

 


กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เน้นย้ำความปลอดภัยในการทำงาน นายจ้าง ลูกจ้าง ต้องปฏิบัติตามหลัก 31ป อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากสารเคมีอันตราย

นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า กรมได้นำมาตรการด้านความปลอดภัยในการทำงานมาใช้เพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่นายจ้าง และลูกจ้าง โดยนำหลัก 31ป ซึ่งเป็นมาตรการในการป้องกันอันตรายที่จะเกิดอุบัติเหตุและอุบัติภัยจากสารเคมีอันตรายมาใช้บังคับ เพื่อดูแลความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้าง รวมถึงสร้างการรับรู้ความเข้าใจให้นายจ้าง ลูกจ้าง ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

โดยหลักดังกล่าวประกอบด้วย การแจ้ง การจัดการ การจัดเก็บ และการประเมิน โดยการแจ้งหมายถึง สถานประกอบกิจการที่ใช้สารเคมีต้องแจ้งบัญชีรายชื่อสารเคมีอันตราย ต่อกรม ภายในเดือนมกราคมของทุกปี แจ้งข้อมูลสารเคมีโดยการติดฉลากบนภาชนะบรรจุสารเคมี พร้อมแจ้งให้ลูกจ้างทราบเข้าใจข้อมูลความปลอดภัย สัญลักษณ์ วิธีการทำงานที่ถูกต้องและปลอดภัย รวมทั้งติดป้ายห้าม ป้ายเตือน ป้ายให้ปฏิบัติติดไว้ในที่ทำงาน

ส่วนการจัดการ คือจัดการสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีให้ถูกลักษณะ สะอาด เป็นระเบียบ มีระบบระบายอากาศ ระบบป้องกันและกำจัดมลพิษ จัดการให้มีสถานที่และอุปกรณ์เพื่อความคุ้มครองความปลอดภัย ส่วนการจัดเก็บ หมายถึงสถานที่จัดเก็บเป็นไปตามมาตรฐาน ทนไฟได้ตามมาตรฐาน พื้นเรียบสะอาด ไม่เปียกลื่น ไม่ดูดซับสารเคมีอันตราย มีระยะห่างปลอดภัยจากอาคารที่ลูกจ้างทำงาน และการประเมิน หมายถึง มีการประเมินความเสี่ยงการก่ออันตรายของสารเคมีที่ใช้และประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพของลูกจ้างเป็นประจำ

อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวด้วยว่า การป้องกันอุบัติเหตุและอุบัติภัยจากสารเคมีอันตรายนั้น ต้องเกิดจากความร่วมมือและร่วมใจจากทุกฝ่าย โดยการสร้างความตระหนักรู้และคำนึงถึงความปลอดภัยในการทำงาน จึงอยากกำชับให้นายจ้าง ลูกจ้างปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยและทำตามหลัก 31ป เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากสารเคมีอันตราย และนำไปใช้เป็นแนวทางการทำงานในสถานประกอบกิจการอย่างเข้มงวด

 

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 26 กรกฎาคม 2565

 

วันนี้ (26 กรกฎาคม 2565)  เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี                      เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
 

กฎหมาย

                   1.       เรื่อง     ร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า เพียงอย่างเดียวตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. ....
                   2.       เรื่อง     ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคด้านสาธารณสุข (เพิ่มเติม)]
                   3.       เรื่อง     การกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพของบุคคลล้มละลายในกฎหมาย
                   4.       เรื่อง     ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองท่าโขลงคลองหลวง-รังสิต จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองท่าโขลง-คลองหลวง-รังสิต จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. 2552)
 

เศรษฐกิจ สังคม

                   5.       เรื่อง     โครงการสลากการกุศล
                    6.       เรื่อง     (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. 2565 – 2570
                   7.       เรื่อง     การขอเพิ่มวงเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
                   8.       เรื่อง     การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2565 ครั้งที่ 3
                   9.       เรื่อง     รายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2564
                   10.      เรื่อง     รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563  ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
                   11.      เรื่อง     รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2564 สภาองค์กรของผู้บริโภค
                   12.      เรื่อง     รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนพฤษภาคม และ 5 เดือนแรกของปี 2565
                   13.      เรื่อง     โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
                   14.      เรื่อง     การปรับอัตราเงินอุดหนุนรายหัวตามความจำเป็นพื้นฐาน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ของผู้เรียนและเพิ่มศักยภาพสถานศึกษาในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
                   15.      เรื่อง     ขออนุมัติดำเนินโครงการลงทุนรายการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่
                   16.      เรื่อง     ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 20/2565
                   17.      เรื่อง     โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) Re - Open ธุรกิจโรงแรม และ Supply Chain ของโรงแรม
                   18.      เรื่อง     การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
 
 

ต่างประเทศ

                   19.      เรื่อง     การดำเนินการในฐานะสมาชิก Global Forum on Transparency and Exchange of Information for Tax Information for Tax Purposes (Global Forum)
                   20.      เรื่อง     การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ อาเซียน ครั้งที่ 55 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
 

แต่งตั้ง

                   21.      เรื่อง     การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
                   22.      เรื่อง     การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม
                   23.      เรื่อง     การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์
 
 
 
 
*******************
สำนักโฆษก   สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
 
 

กฎหมาย

1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. ....
                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงาน                      ที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
                   ทั้งนี้ คค. เสนอว่า
                   1. โดยที่รัฐบาลมีการเร่งรัดนโยบาย แผนงาน และมาตรการต่าง ๆ ด้านการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและการใช้พลังงานของโลก และในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 ได้มีมติในด้านการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับกรมการขนส่งทางบกในการกำหนดมาตรการด้านภาษีเพื่อสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า โดยการลดอัตราภาษีประจำปีสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อเป็นการจูงใจให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
                   2. โดยที่พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 31 บัญญัติให้ในกรณีที่เห็นเป็นการสมควร   ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมีอำนาจลดภาษีประจำปีสำหรับรถในเขตท้องที่ใดหรือในกรณีใดลงจากอัตราที่กำหนดไว้ท้ายพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา คค. โดยกรมการขนส่งทางบกจึงได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. .... ขึ้น โดยกำหนดให้ลดอัตราภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวที่จดทะเบียนระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 ลงร้อยละ 80 ของอัตรา      ที่กำหนดตาม (11) ของอัตราภาษีประจำปีท้ายพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2550 เป็นระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่จดทะเบียน เพื่อเป็นการสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
                   3. กรมการขนส่งทางบกได้นำร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ลงรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยทั่วไปทางเว็บไซต์ http://www.dlt.go.th และเว็บไซต์ http://elaw.dlt.go.th ตั้งแต่วันที่ 1 - 15 เมษายน 2565 มีประชาชนมาให้ความเห็น 20 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เห็นพ้องด้วย
                   4. คค. ได้ดำเนินการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยรายงานว่าโดยที่กรมการขนส่งทางบกมีหน้าที่ต้องจัดเก็บเงินภาษีประจำปี เงินเพิ่ม และค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ รายได้จากการจัดเก็บดังกล่าวจะตกเป็นรายได้ของกรุงเทพมหานคร และในจังหวัดอื่นจะตกเป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ซึ่งกรมการขนส่งทางบกประมาณการรายได้จากการจัดเก็บภาษีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 - 30 กันยายน 2568 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 50,897,330 บาท (คาดว่าจะมีรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจำนวน 128,736 คัน) หากร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. .... ดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้ว จะส่งผลกระทบต่อหน่วยงานที่ได้รับเงินภาษีดังกล่าวด้วย โดยจะได้รับเงินภาษีเป็นรายได้ประมาณ 31,922,758 บาท ซึ่งจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 18,974,572 บาท คิดเป็นร้อยละ 37 ของรายได้ที่จะสามารถจัดเก็บรถไฟฟ้าทั้งหมด แต่เนื่องจากจำนวนภาษีของรถที่เสียภาษีประจำปี 2565 ถึงปี 2568 (รถทุกประเภท) ที่กรมการขนส่งทางบกจัดเก็บได้จะมีรายได้ประมาณการในปี 2568 จำนวน 33,913,995,256 บาท การสูญเสียรายได้จากการลดอัตราภาษีประจำปีสำหรับรถ                   ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวลงในอัตราร้อยละ 80 ดังกล่าว คิดเป็นจำนวนเพียงร้อยละ 0.05 จึงคาดว่าการลดอัตราภาษีลงดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของกรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการนำไปจัดทำบริการสาธารณะให้กับประชาชน แต่จะก่อให้เกิดประโยชน์โดยเป็นการส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และปริมาณ PM 2.5 ในอากาศ ตลอดจนช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศ
                   สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
                   กำหนดให้ลดอัตราภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวที่จดทะเบียนระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 ลงร้อยละ 80 ของอัตราที่กำหนดตาม (11) ของอัตราภาษีประจำปีท้ายพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติรถยนต์                   (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2550 เป็นระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่จดทะเบียน โดยรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามีอัตราภาษีประจำปี ดังนี้
อัตราภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า

ประเภทรถน้ำหนักรถ
(กิโลกรัม)
อัตราภาษี
ท้าย พ.ร.บ. รถยนต์
พ.ศ. 2522 (บาท)
อัตราภาษีตามร่าง พ.ร.ฎ.
(จัดเก็บร้อยละ 20)
(บาท)
1. รถยนต์นั่งส่วนบุคคล
ไม่เกิน 7 คน
 
ไม่เกิน 500
501 - 750
751 - 1,000
1,001 - 1,250
1,251 - 1,500
1,501 - 1,750
1,751 - 2,000
2,001 - 2,500
2,501 - 3,000
3,001 - 3,500
3,501 - 4,000
4,001 - 4,500
4,501 - 5,000
5,001 - 6,000
6,001 - 7,000
7,001 ขึ้นไป
 
150
300
450
800
1,000
1,300
1,600
1,900
2,200
2,400
2,600
2,800
3,000
3,200
3,400
3,600
 
30
60
90
160
200
260
320
380
440
480
520
560
600
640
680
720
2. รถยนต์นั่งส่วนบุคคล เกิน 7 คน 
ไม่เกิน 500
501 - 750
751 - 1,000
1,001 - 1,250
1,251 - 1,500
1,501 - 1,750
1,751 - 2,000
2,001 - 2,500
2,501 - 3,000
3,001 - 3,500
3,501 - 4,000
4,001 - 4,500
4,501 - 5,000
5,001 - 6,000
6,001 - 7,000
7,001 ขึ้นไป
 
75
150
225
400
500
650
800
950
1,100
1,200
1,300
1,400
1,500
1,600
1,700
1,800
 
15
30
45
80
100
130
160
190
220
240
260
280
300
320
340
360
3. รถจักรยานยนต์
   (ก) รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล
   (ข) รถจักรยานยนต์สาธารณะ
 
-
-
 
50
50
 
10
10
4. รถบดถนน-20040
5. รถแทรกเตอร์ที่ใช้ในการเกษตร-255
6. รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด
รถยนต์บริการ
 
ไม่เกิน 500
501 - 750
751 - 1,000
1,001 - 1,250
1,251 - 1,500
1,501 - 1,750
1,751 - 2,000
2,001 - 2,500
2,501 - 3,000
3,001 - 3,500
3,501 - 4,000
4,001 - 4,500
4,501 - 5,000
5,001 - 6,000
6,001 - 7,000
7,001 ขึ้นไป
 
225
375
525
675
825
1,050
1,275
1,500
1,725
1,950
2,175
2,400
2,625
2,850
3,075
3,300
 
45
75
105
135
165
210
255
300
345
390
435
480
525
570
615
660
7. รถรับจ้างไม่เกิน 500
501 - 750
751 - 1,000
1,001 - 1,250
1,251 - 1,500
1,501 - 1,750
1,751 - 2,000
2,001 - 2,500
2,501 - 3,000
3,001 - 3,500
3,501 - 4,000
4,001 - 4,500
4,501 - 5,000
5,001 - 6,000
6,001 - 7,000
7,001 ขึ้นไป
92.5
155
255
280
342.5
437.5
530
625
717.5
812.5
905
1,000
1,092.5
1,187.5
1,280
1,375
18.5
31
45
56
68.5
87.5
106
125
143.5
162.5
181
200
218.5
237.5
256
275
8. รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลหรือรถยนต์สำหรับลากจูงซึ่งมิใช้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกหรือรถแทรกเตอร์ที่มิได้ใช้ในการเกษตร 
 
 
 
 
ไม่เกิน 500
501 - 750
751 - 1,000
1,001 - 1,250
1,251 - 1,500
1,501 - 1,750
1,751 - 2,000
2,001 - 2,500
2,501 - 3,000
3,001 - 3,500
3,501 - 4,000
4,001 - 4,500
4,501 - 5,000
5,001 - 6,000
6,001 - 7,000
7,001 ขึ้นไป
 
 
 
 
 
150
225
300
375
450
525
675
825
975
1,125
1,275
1,425
1,575
1,725
1,875
2,025
 
 
 
 
 
30
45
60
75
90
105
135
165
195
225
255
285
315
345
375
405

หมายเหตุ : อัตราภาษีปกติที่จะจัดเก็บสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในลำดับที่ 2 - 8 จะจัดเก็บภาษี                ในอัตรากึ่งหนึ่งของอัตราภาษีท้ายพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ของแต่ละประเภทนั้น
 
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคด้านสาธารณสุข (เพิ่มเติม)]
                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติดังนี้ 
                    1. รับทราบการปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการบริจาคด้านสาธารณสุขตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ 
                   2. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ 
                   ทั้งนี้ การปรับปรุงหลักเกณฑ์การบริจาคด้านสาธารณสุขและร่างพระราชกฤษฎีกาที่ กค. เสนอ                เป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยให้หักลดหย่อนหรือหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่าของจำนวนเงินหรือทรัพย์สินที่บริจาค สำหรับการบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์                       (e-Donation) ของกรมสรรพากร ให้แก่มูลนิธิรวม 3 แห่ง ได้แก่ (1) มูลนิธิชัยพัฒนา (2) มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ (3) มูลนิธิรามาธิบดี ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สิน หรือการขายสินค้า หรือการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการบริจาคให้แก่มูลนิธิทั้ง 3 แห่งดังกล่าว ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบถึงวันที่ 31 ธันวาคม                   พ.ศ. 2567 ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ภาคประชาชนและภาคเอกชนได้มีส่วนร่วมสนับสนุนการบริจาค ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนทั่วไปได้รับการรักษาพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งมีส่วนช่วยในการลดงบประมาณของภาครัฐด้านสาธารณสุขได้อีกทางหนึ่ง 
                   สาระสำคัญของการปรับปรุงหลักเกณฑ์การบริจาคด้านสาธารณสุข และร่างพระราชกฤษฎีกาฯ 
                   1. การปรับปรุงหลักเกณฑ์การบริจาคด้านสาธารณสุข 
                             1.1 จากเดิม “เป็นมูลนิธิที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการรักษาพยาบาลผู้ป่วยของสถานพยาบาลของทางราชการหรือองค์การของรัฐบาล” เป็น “เป็นมูลนิธิที่มีวัตถุประสงค์หรือมีการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการรักษาพยาบาลผู้ป่วยของสถานพยาบาลของทางราชการหรือองค์การของรัฐบาล  
                             1.2 จากเดิม “มีผู้บริหารสูงสุดของโรงพยาบาลเป็นกรรมการมูลนิธิ” เป็น “มีผู้บริหารสูงสุดของโรงพยาบาล ผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานต้นสังกัดของโรงพยาบาล หรือผู้บริหารสูงสุดขององค์กรที่มีภารกิจโดยตรงในการอุปถัมภ์ การส่งเสริม หรือการสนับสนุนกิจการของโรงพยาบาลเป็นกรรมการมูลนิธิ” 
                   2. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร                   (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 
                             2.1 กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับการบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์              (e-Donation) ให้แก่มูลนิธิ รวม 3 แห่ง ได้แก่ (1) มูลนิธิชัยพัฒนา (2) มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ (3) มูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ดังนี้ 
                                      1)  บุคคลธรรมดา ให้ยกเว้นสำหรับเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนเป็นจำนวนสองเท่าของจำนวนเงินที่บริจาค แต่เมื่อรวมคำนวณกับเงินได้ที่กำหนดให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนสองเท่าของเงินที่ได้จ่ายตามกรณีที่กำหนดไว้แล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนนั้น 
                                      2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้ยกเว้นสำหรับเงินได้เป็นจำนวนสองเท่าของรายจ่ายที่บริจาค ไม่ว่าจะได้จ่ายเป็นเงินหรือทรัพย์สิน แต่เมื่อรวมคำนวณกับรายจ่ายที่กำหนดให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนสองเท่าของรายจ่ายแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสิบของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา
                             2.2 กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่บุคคลธรรมดาหรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สิน หรือการขายสินค้า หรือสำหรับการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการบริจาคให้แก่มูลนิธิทั้ง 3 แห่งดังกล่าว ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 โดยผู้โอนจะต้องไม่นำต้นทุนของทรัพย์สินหรือสินค้า ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีดังกล่าวมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดาหรือบริษัท                 หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
 
3. เรื่อง การกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพของบุคคลล้มละลายในกฎหมาย
                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ดังนี้
                   1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพของบุคคลล้มละลายในกฎหมายตามที่สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) เสนอ และให้ส่วนราชการนำไปใช้ประกอบการพิจารณาจัดทำร่างกฎหมายและการตรวจพิจารณากฎหมายต่อไป
                   2. ให้ส่วนราชการต่าง ๆ นำหลักเกณฑ์การกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งฯ ไปตรวจสอบกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบ หากเห็นว่ากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ยังมีความไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้เสนอร่างกฎหมายเพื่อแก้ไขหรือยกเลิกบทบัญญัติที่ไม่สอดคล้องนั้นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในโอกาสแรก
                   3. ให้คณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนให้คำแนะนำหรือข้อเสนอแนะต่อส่วนราชการในการเสนอร่างกฎหมายเพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งฯ และในกรณีที่ส่วนราชการที่รักษาการตามกฎหมายไม่ขัดข้อง คณะกรรมการฯ อาจเสนอร่างกฎหมายเพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีแทนส่วนราชการ
                   ทั้งนี้ สำนักงาน ป.ย.ป. เสนอว่า
                   1. ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน                    พ.ศ. 2563 ข้อ 4 และข้อ 8 กำหนดให้ตั้งคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน ซึ่งมีหน้าที่และอำนาจในการพิจารณาให้ความเห็น คำปรึกษา หรือข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับแนวทางแก้ไข ปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายหรือกฎที่มีผลใช้บังคับอยู่ หรือการเสนอกฎหมายหรือกฎใหม่ เพื่อให้การดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติในระยะเร่งด่วนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และให้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป ต่อมา คณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนได้มีคำสั่งที่ 1/2563 ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน                พ.ศ. 2563 แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งที่ 1/2565 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการทบทวนกฎหมายล้าสมัยเพื่อศึกษา วิเคราะห์ และพิจารณาจัดทำความเห็นหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการทบทวนกฎหมายที่ล้าสมัย
                   2. คณะอนุกรรมการฯ ได้ศึกษาวิเคราะห์กฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 77 และมาตรา 258 ค (1) ซึ่งบัญญัติให้รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพโดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน ประกอบกับเป้าหมายตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น (22) กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ได้กำหนดให้กฎหมาย                    เป็นเครื่องมือให้ทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์จากการพัฒนาประเทศอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม โดยได้ศึกษาผลกระทบของการกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพของบุคคลล้มละลายในกฎหมายแล้ว เห็นว่า บทบัญญัติของกฎหมายหลายฉบับที่ใช้บังคับในปัจจุบันยังคงนำเหตุแห่งการเป็นบุคคล้มละลายมาเป็นข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพ โดยแบ่งเป็นบทบัญญัติในการประกอบอาชีพของบุคคลล้มละลาย เป็น 4 ลักษณะ ได้แก่ 1) ห้ามดำรงตำแหน่งสำคัญ 2) ห้ามดำรงตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน 3) ห้ามรับราชการ และ 4) ห้ามประกอบอาชีพ ซึ่งคณะอนุกรมการฯ เห็นว่า การกำหนดข้อจำกัดไว้ในกฎหมายหลายฉบับดังกล่าวมีความลักลั่น ไม่มีแนวทางที่ชัดเจน และมีความล้าสมัยใน 4 ประเด็น ดังนี้
                             2.1 เหมาะรวมว่าบุคคลล้มละลายไร้ความสามารถทุกคน ซึ่งเป็นความคิดที่ล้าสมัย เนื่องจากการล้มละลายมีหลายรูปแบบ และการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพมีความแตกต่างกันทั้งในด้านอำนาจ หน้าที่ ความรับผิดชอบ และผลกระทบต่อบุคคลอื่นหรือประชาชนโดยรวม โดยบางตำแหน่งหรืออาชีพอาจ        ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการบริหารด้านการเงินหรือทรัพย์สิน และการเป็นบุคคลล้มละลายมิได้กระทบต่อความสามารถในการทำงาน
                             2.2 การล้มละลายไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมไม่ดีเสมอไป และการล้มละลายอาจมีสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ทำให้บุคคลล้มละลายได้ แม้จะดำเนินการอย่างสุจริตและใช้ความระมัดระวังอันสมควรแล้วก็ตาม ทั้งนี้ ยังไม่มีผลการวิจัยที่เป็นรูปธรรมชัดเจนว่าบุคคลซึ่งล้มละลายแล้วจะกระทำการทุจริตทุกคน
                             2.3 การกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งและการประกอบอาชีพของบุคคลล้มละลายไม่เป็นประโยชน์และไม่คุ้มค่า เนื่องจากเจ้าหนี้ไม่ได้รับประโยชน์จากการที่ลูกหนี้ไม่มีรายได้และภาครัฐต้องเสียบุคลากรโดยไม่จำเป็น
                             2.4 การกำหนดข้อจำกัดดังกล่าวขัดต่อหลักสากลในเรื่องการเคารพสิทธิของบุคคลและการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมด้วยเหตุของฐานะทางเศรษฐกิจ และยังอาจเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอีกด้วย
                   3. ดังนั้น เพื่อให้บทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพของบุคคลล้มละลายไม่เป็นการจำกัดสิทธิของบุคคลล้มละลายเกินสมควร จึงควรกำหนดแนวทางเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาจัดทำร่างกฎหมาย การตรวจพิจารณาร่างกฎหมาย และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายที่นำเหตุแห่งการเป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายหรือการเป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริตมาเป็นข้อห้ามในการดำรงตำแหน่งหรือประกอบอาชีพต้องเป็นไปตามสัดส่วนตามความจำเป็น และในกรณีที่กำหนดให้มีการห้ามดำรงตำแหน่งหรือประกอบอาชีพของบุคคลที่เคยเป็นบุคคลล้มละลาย ควรกำหนดห้วงเวลาการห้ามไว้ด้วย เพื่อไม่เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลมากเกินควร แต่สำหรับบุคคลที่ล้มละลายทุจริตนั้นอาจนำมาเป็นข้อจำกัดต่อไปได้เพื่อป้องกันมิให้บุคคลนั้นกลับมาสร้างความเสียหายต่อสังคมได้อีก ทั้งนี้ ให้พิจารณาตามเหตุผลและความจำเป็นของกฎหมายในแต่ละฉบับเป็นสำคัญ
                   4. คณะกรรมการฯ ในการประชุม ครั้งที่ 4/2565 วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 ได้พิจารณาความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ เกี่ยวกับการกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพของบุคคลล้มละลายในกฎหมายแล้วมีมติเห็นชอบตามความเห็นดังกล่าวตามข้อ 2 และ 3 และได้มอบหมายให้สำนักงาน ป.ย.ป. จัดทำบันทึกคณะกรรมการฯ เสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อเป็นหลักเกณฑ์สำหรับส่วนราชการต่าง ๆ ในการกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพของบุคคลล้มละลายในกฎหมายต่อไป
                   5. สำนักงาน ป.ย.ป. ได้จัดทำบันทึกเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการตามข้อ 4 ซึ่งนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นชอบให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
                   สาระสำคัญของหลักเกณฑ์

หัวข้อสาระสำคัญ
1. หลักทั่วไป- การตรากฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลให้กระทำได้เท่าที่จำเป็นได้สัดส่วน และต้องไม่กระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิ ดังนั้น การพิจารณาว่ากฎหมายสมควรกำหนดให้เหตุของการเป็นบุคคลล้มละลายเป็นข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือประกอบอาชีพหรือไม่นั้น จะพิจารณาจากเพียงฐานะทางเศรษฐกิจของบุคคลนั้นมิได้ แต่ต้องพิจารณาจากลักษณะของการเป็นบุคคลล้มละลายเป็นสำคัญ กล่าวคือ ต้องมีการแยกแยะระหว่าง 1) บุคคลซึ่งเป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทั่วไป โดยไม่ได้มีมูลเหตุมาจากการกระทำความผิดหรือการกระทำทุจริต (บุคคลล้มละลายโดยสุจริต) และ 2) บุคคลซึ่งเป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายโดยคำพิพากษาของศาลว่าได้กระทำความผิดตามมาตรา 163 ถึงมาตรา 170 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 หรือเนื่องมาจากหรือมีความผิดเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดฐานยักยอกหรือฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา หรือการกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน (บุคคลล้มละลายทุจริต) โดยการกำหนดข้อจำกัดสำหรับบุคคลล้มละลายโดยสุจริตควรใช้ความระมัดระวัง และให้กำหนดได้เฉพาะในกรณีที่มีเหตุผลหรือความจำเป็นเป็นการเฉพาะเท่านั้น
2. การกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพของบุคคลซึ่งเป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย- การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลซึ่งเป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายจะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกฎหมายเป็นรายฉบับ รวมทั้งต้องพิจารณาถึงลักษณะการทำหน้าที่ ความรับผิดชอบ และผลกระทบอันอาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานในตำแหน่งหรืออาชีพนั้นด้วย โดยพิจารณาตามประเภทตำแหน่งหรืออาชีพได้ ดังนี้
          1) ตำแหน่งสำคัญในภาครัฐ การดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองหรือตำแหน่งสำคัญอื่นในภาครัฐ เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือผู้ตรวจการแผ่นดิน นั้น ควรกำหนดห้ามไม่ให้บุคคลซึ่งเป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริตดำรงตำแหน่ง เนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวมีหน้าที่และอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญแทนบุคคลอื่น จึงควรเป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจจากสังคม หากเป็นบุคคลล้มละลายอาจมีข้อจำกัดในการทำกิจกรรมบางประการอันจะกระทบต่อความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่และกรณีเคยเป็นหรือเป็นบุคคลล้มละลายทุจริตย่อมทำให้เกิดข้อสงสัยและการไว้วางใจให้ปฏิบัติหน้าที่ซึ่งมีความสำคัญต่อประโยชน์ส่วนรวม
          2) ตำแหน่งสำคัญในภาคเอกชน กฎหมายอาจกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งเนื่องจากเหตุที่เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายไว้ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยอาจกำหนดห้วงเวลาการห้ามมิให้บุคคลนั้นดำรงตำแหน่งไว้ด้วย เพื่อเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพที่ได้สัดส่วนตามความจำเป็น เช่น พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 51 ซึ่งห้ามมิให้สถาบันการเงินแต่งตั้งหรือยอมให้บุคคลซึ่งเป็นบุคคลล้มละลายหรือพ้นจากการเป็นบุคคลล้มละลายมาแล้วไม่ถึงห้าปีทำหน้าที่ผู้จัดการ ผู้มีอำนาจจัดการ หรือที่ปรึกษาของสถาบันการเงิน เป็นต้น
          3) การดำรงตำแหน่งกรรมการ การห้ามดำรงตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ทั้งในกรณีการดำรงตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการภาครัฐและการดำรงตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการภาคเอกชน จะต้องพิจารณาถึงความเชี่ยวชาญของตำแหน่งกรรมการนั้นเป็นสำคัญ โดยมีข้อเสนอแนวทางการพิจารณา ดังต่อไปนี้
                   3.1) ในกรณีที่ตำแหน่งกรรมการนั้นจำเป็นต้องอาศัยความรู้และความเชี่ยวชาญความเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพย์สินหรือกิจการ ควรกำหนดห้ามไม่ให้บุคคลล้มละลายดำรงตำแหน่งกรรมการทุกกรณี เช่น กรรมการในสถาบันการเงินตามพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 51 เป็นต้น สำหรับบุคคลซึ่งเคยเป็นบุคคลล้มละลาย กฎหมายอาจกำหนดห้วงเวลาที่บุคคลนั้นไม่อาจดำรงตำแหน่งไว้ได้ เช่น กรณีพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 51 ตามข้อ 2) เป็นต้น
                   3.2) ในกรณีที่ความเชี่ยวชาญของตำแหน่งกรรมการนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพย์สินหรือกิจการ ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องกำหนดให้การเป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายเป็นข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่ง เพื่อให้คณะกรรมการประกอบด้วยบุคคลซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ อย่างแท้จริง
          4) การรับราชการ ปัจจุบันกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลในภาครัฐหลายฉบับกำหนดข้อจำกัดห้ามบุคคลล้มละลายเข้ารับราชการไว้อย่างกว้างขวาง ซึ่งเมื่อพิจารณาจากเหตุผลและความจำเป็นตามหลักรัฐธรรมนูญและการปฏิบัติหน้าที่ราชการแล้ว กฎหมายไม่ควรกำหนดห้ามเป็นการทั่วไปมิให้บุคคลซึ่งเป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายเข้ารับราชการ ทั้งในกรณีของการเป็นข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ และลูกจ้างชั่วคราว เนื่องจากบุคคลดังกล่าว แม้จะเป็นผู้ที่ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายแต่ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ราชการของบุคคลนั้นยังคงมีอยู่มิได้หมดสิ้นไปด้วย ส่วนกรณีที่ตำแหน่งราชการนั้นเกี่ยวข้องกับการบริหารเงินหรือทรัพย์สิน หากเจ้าหน้าที่ตกเป็นบุคคลล้มละลายซึ่งมิใช่เป็นการล้มละลายทุจริต หน่วยงานของรัฐยังคงสามารถใช้วิธีการในทางบริหารโดยการย้ายบุคคลนั้นไปทำงานในส่วนงานอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพย์สินได้ ดังนั้น การกำหนดข้อห้ามดำรงตำแหน่งราชการเนื่องจากการเป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายควรได้รับการทบทวนโดยละเอียดโดยคำนึงถึงเหตุผลและความจำเป็นของตำแหน่งหน้าที่ในทางราชการนั้นเป็นสำคัญ
          5) การประกอบอาชีพอื่น ๆ หากเป็นอาชีพที่มีความเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพย์สินหรือกิจการ หรือมีเหตุผลหรือความจำเป็นอื่นที่ไม่อาจให้บุคคลล้มละลายเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่นั้นได้ เช่น การห้ามบุคคลซึ่งเป็นบุคคลล้มละลายขอรับใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิตตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 35 เป็นต้น ให้สามารถกำหนดข้อจำกัดดังกล่าวไว้ในกฎหมายตามความจำเป็นและเหมาะสมได้ สำหรับกรณีบุคคลซึ่งเคยเป็นบุคคลล้มละลาย กฎหมายอาจกำหนดห้วงเวลาในการห้ามบุคคลประกอบอาชีพหลังจากที่บุคคลนั้นพ้นจากการเป็นบุคคลล้มละลายแล้วก็ได้
3. ข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพของบุคคลซึ่งเป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริตรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้กำหนดห้ามบุคคลใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐมนตรี ฯลฯ ในกรณีที่บุคคลนั้นเป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต เพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งหลักการดังกล่าวสามารถนำมาปรับใช้กับกรณีการกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพของบุคคลซึ่งเป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริตในกฎหมายอื่นได้เช่นกัน โดยอาจกำหนดข้อจำกัดในการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพในบางลักษณะของบุคคลซึ่งเป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริตได้ เพื่อป้องกันมิให้บุคคลนั้นกระทำความเดือดร้อนหรือแสวงหาประโยชน์ส่วนตนจากการดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพได้อีก

 
4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองท่าโขลง-คลองหลวง-รังสิต จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองท่าโขลง-คลองหลวง-รังสิต จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. 2552)
                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองท่าโขลง-คลองหลวง-รังสิต จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองท่าโขลง-คลองหลวง-รังสิต จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. 2552) ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
                   ทั้งนี้ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทยตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองท่าโขลง-คลองหลวง-รังสิต จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. 2552 เนื่องจากสภาพข้อเท็จจริงในพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยมากขึ้น ทำให้การใช้ประโยชน์ที่ดินตามผังเมืองรวมดังกล่าวไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ โดยเฉพาะที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า (สีม่วง) ยังเป็นพื้นที่โล่งมีการประกอบอุตสาหกรรมอยู่เดิมไม่มาก และปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นชุมชนอยู่อาศัยหนาแน่นมากขึ้น จึงต้องมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน โดยแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า (สีม่วง) ในพื้นที่บริเวณหมายเลข 4.2 (บางส่วน) ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) ในพื้นที่บริเวณหมายเลข 1.9 (บางส่วน) และหมายเลข 1.11 (บางส่วน) เป็นที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง (สีส้ม) รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมรายการประกอบแผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามที่ได้จำแนกประเภทท้ายกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองท่าโขลง-คลองหลวง-รังสิต จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. 2552 ในที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า (สีม่วง) ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) และที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง (สีส้ม) ให้สอดคล้องกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อรองรับการอยู่อาศัยประเภทขนาดใหญ่และอาคารสูงในอนาคต ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 แล้ว และคณะกรรมการผังเมืองได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
                   สาระสำคัญของร่างประกาศ
                   แก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า (สีม่วง) บางส่วนและที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) บางส่วน เป็นที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง (สีส้ม) รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมรายการประกอบแผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมของจังหวัดปทุมธานีที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ดังนี้
                   1. แก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า (สีม่วง) ในพื้นที่บริเวณหมายเลข 4.2 (บางส่วน) เป็นที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง (สีส้ม) เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวสภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินปัจจุบันส่วนใหญ่ยังเป็นพื้นที่โล่ง ไม่มีการประกอบอุตสาหกรรมและมีการใช้ที่ดินโดยรอบเป็นที่อยู่อาศัยแล้ว อีกทั้งแนวโน้มการใช้ประโยชน์ที่ดินในอนาคตจะเป็นลักษณะอยู่อาศัยค่อนข้างหนาแน่นประเภทอาคารสูงมากกว่าบ้านเดี่ยว จึงกำหนดเพื่อรองรับการอยู่อาศัยประเภทอาคารขนาดใหญ่และอาคารสูง
                   2. แก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) ในพื้นที่บริเวณหมายเลข 1.9 (บางส่วน) และหมายเลข 1.11 (บางส่วน) เป็นที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง               (สีส้ม) เนื่องจากเป็นพื้นที่ในบริเวณข้างเคียงพื้นที่บริเวณหมายเลข 4.2 เพื่อรองรับการอยู่อาศัยประเภทอาคารขนาดใหญ่และอาคารสูง
                   3. แก้ไขเพิ่มเติมรายการประกอบแผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามที่ได้จำแนกประเภทท้ายกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองท่าโขลง - คลองหลวง – รังสิต จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. 2552 ในที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า (สีม่วง) ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) และที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง (สีส้ม) ให้สอดคล้องกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินตามข้อ 1 และข้อ 2
 

เศรษฐกิจ สังคม

5. เรื่อง โครงการสลากการกุศล
                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอดังนี้
                   1. เห็นชอบให้มีการออกสลากการกุศลเพื่อสนับสนุนโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเงินจากโครงการสลากการกุศล (โครงการฯ) ซึ่งผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล                 (คณะกรรมการฯ) แล้ว จำนวน 16 โครงการ วงเงิน 8,239.93 ล้านบาท
                   2. มอบหมายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (สำนักงานสลากฯ) เป็นผู้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย และจ่ายเงินรางวัลสลากการกุศล และประสานงานกับหน่วยงานเจ้าของโครงการฯ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการออกสลากการกุศล การขออนุญาตการออกสลากการกุศล และการนำส่งเงินให้หน่วยงานเจ้าของโครงการฯ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโดยให้ผู้รับใบอนุญาตการออกสลากการกุศลเสียภาษีการพนันเหลือร้อยละ 0.5 แห่งยอดราคาสลากซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่ายตามข้อ 12 (4) ของกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503)
                   3. มอบหมายให้คณะกรรมการฯ ดำเนินการ ดังนี้
                             3.1 กำหนดระยะเวลาในการผูกพันวงเงินของโครงการฯ และหากหน่วยงานเจ้าของโครงการฯ ไม่สามารถผูกพันวงเงินได้ตามกำหนด ให้ยกเลิกวงเงินดังกล่าวหรือให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาขยายระยะเวลาในการดำเนินโครงการดังกล่าว
                             3.2 เปลี่ยนแปลงรายละเอียดการใช้เงินภายในโครงการฯ โดยจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงเป็นกิจกรรมที่แตกต่างจากโครงการฯ ที่ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
                             3.3 กรณีมีวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 คงเหลือจากที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบตามข้อ 1 ให้คณะกรรมการฯ พิจารณากลั่นกรองโครงการฯ ที่ได้จัดส่งข้อเสนอมาแล้ว โดยให้พิจารณาถึงประโยชน์แก่ประชาชนและสังคมอย่างทั่วถึงในวงกว้าง รวมทั้งความพร้อมและความจำเป็นของโครงการฯ และให้เสนอ กค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพิ่มเติมโครงการฯ ที่จะได้รับการสนับสนุนต่อไป
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   กค. รายงานว่า
                   1. โครงการสลากการกุศลมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้รับจากการจำหน่ายสลากการกุศลไปสนับสนุนโครงการของส่วนราชการ/มูลนิธิ/องค์กรที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาด้านการสาธารณสุข การป้องกันและบรรเทาโรคติดต่ออันตราย หรือการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม รวมถึงเป็นโครงการที่ก่อประโยชน์แก่ประชาชนและสังคมอย่างทั่วถึงในวงกว้างที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐหรือได้รับการจัดสรรแต่ไม่เพียงพอ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินเพื่อดำเนินโครงการให้บรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งจะเป็นการช่วยให้ประชาชนได้รับการบริการด้านสาธารณสุขและบริการขั้นพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึงมากขึ้น
                   2. ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงหลักการและแนวทางการพิจารณาการออกสลากการกุศล (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 20 กรกฎาคม 2564) ในการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2564                    เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2564 คณะกรรมการฯ ได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ ประชาสัมพันธ์หลักเกณฑ์และแนวทางดังกล่าวบนเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและสำนักงานสลากฯ โดยกำหนดระยะเวลาการยื่นขอรับการสนับสนุนภายใน 1 เดือน หลังจากมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ทั้งนี้                       มีหน่วยงานยื่นข้อเสนอโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น 27 โครงการ วงเงินรวม 20,763.35 ล้านบาท และในการประชุม ครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2565 คณะกรรมการฯ ได้พิจารณากลั่นกรองโครงการที่ขอรับการสนับสนุนของหน่วยงานต่าง ๆ (ไม่เกินโครงการละ 1,000 ล้านบาท) โดยจัดลำดับความสำคัญตามความจำเป็น ความพร้อมในการดำเนินโครงการ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ (วงเงินรวมสูงสุดไม่เกิน 10,000                ล้านบาท) และมีมติ ดังนี้
                             2.1 เห็นชอบผลการกลั่นกรองโครงการฯ จำนวน 16 โครงการ วงเงินรวม 8,239.93 ล้านบาท ดังนี้

โครงการหน่วยงาน
เจ้าของโครงการ
วงเงินสนับสนุนฯ
(ล้านบาท)
1. โครงการศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ผู้สูงอายุระดับชาติ ระยะที่ 2 โดยให้การสนับสนุนในส่วนของการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใน (หลังที่ 2) ค่าจัดซื้อครุภัณฑ์ ค่าใช้จ่ายควบคุมงานการก่อสร้างงานภายนอก ภูมิสถาปัตยกรรม ทางเชื่อมระหว่างอาคาร
และงานต้นไม้บนอาคาร
คณะแพทยศาสตร์
ศิริราชพยาบาล
มหาวิทยาลัยมหิดล
349.66
2. โครงการปรับปรุงอาคารผู้ป่วยหลวงปู่แหวน “สุจิณโณ” และอาคารผู้ป่วยที่เกี่ยวข้อง โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ โดยให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงอาคารฯ และครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เนื่องจากผ่านการใช้งานมานานและมีสภาพทรุดโทรมคณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(มช.)
997.00
3. โครงการฟื้นฟูสุขภาพช่องปากด้วยรากฟันเทียมที่พัฒนาขึ้นเองเพื่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ศูนย์ความเป็นเลิศทางทันตกรรมรากเทียม โดยให้การสนับสนุนกิจกรรมในช่วง 2 ปีแรก เนื่องจากศูนย์ความเป็นเลิศทางทันตกรรมรากเทียมมีแผนที่จะจัดหารายได้จากการทำความร่วมมือกับภาคเอกชนในการจำหน่ายรากฟันเทียมเพื่อนำเงินมาใช้ในการดำเนินโครงการต่อไปคณะทันตแพทยศาสตร์
มช.
140.60
4. โครงการก่อสร้างสถาบันพยาธิวิทยา โดยให้การสนับสนุนเฉพาะค่าออกแบบอาคารฯ เนื่องจากยังไม่มีการออกแบบรายละเอียด ทำให้ยังไม่มีความชัดเจนของความจำเป็นและต้นทุนการก่อสร้างอาคารที่ชัดเจนสถาบันพยาธิวิทยา
กรมการแพทย์
33.50
5. โครงการศูนย์บริการสุขภาพนานาชาติชั้นเลิศด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด (Medical Hub Excellent Cardiovascular Service) โดยให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในส่วนของการก่อสร้างศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือดโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ สำนักงานปลัดกระทรวง
สาธารณสุข (สป.สธ.)
766.08
6. โครงการเพิ่มศักยภาพบริการทางการแพทย์สู่ความเป็นเลิศในเขตภาคใต้ตอนบน โดยให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใน 114 เตียง อาคารทันตกรรมและอาคารที่จอดรถและศูนย์อาหารโรงพยาบาลมหาราช
นครศรีธรรมราช
สป.สธ.
722.84
7. โครงการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์อาคารผู้ป่วยนอกส่วนต่อขยาย (Extended OPD) โดยมีกำหนดการเตรียมความพร้อมครุภัณฑ์ทางการแพทย์สำหรับอาคารดังกล่าวในช่วงเดือนมิถุนายน - พฤศจิกายน 2566โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
สภากาชาดไทย
399.06
8. โครงการก่อสร้างอาคารศูนย์บริการการแพทย์ชั้นเลิศ ปรับปรุงห้องผ่าตัดและตกแต่งภายในคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) โดยให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างปรับปรุงห้องผ่าตัดจำนวน 20 ห้อง ซึ่งได้มีการแก้ไขสัญญาลดงานก่อสร้างห้องผ่าตัด (198.04 ล้านบาท) โดยหน่วยงานสามารถนำวงเงินที่ประหยัดได้ไปดำเนินการในเรื่องอื่น ๆคณะแพทยศาสตร์
มข.
376.67
9. โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่และมีแบบในการก่อสร้างแล้วโดยจะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ภายในปี 2565มูลนิธิโรงพยาบาล
พระจอมเกล้า
เจ้าคุณทหาร
ในพระสังฆราชูปถัมป์
665.05
10. โครงการขอรับการออกสลากการกุศลเพื่อนำเงินรายได้มาเป็นงบประมาณในการจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ อาคารรักษาพยาบาลและฟื้นฟูข้าราชการตำรวจ โรงพยาบาลตำรวจ โดยให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดหาเครื่องมือแพทย์ จำนวน 155 รายการ เพื่อรองรับการเปิดใช้อาคารรักษาพยาบาลและฟื้นฟูข้าราชการตำรวจที่คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงเดือนธันวาคม 2565มูลนิธิแพทยศาสตร์
ตำรวจ
ในสังฆราชูปถัมป์
1,000.00
11. โครงการสนับสนุน ส่งเสริมสถานพยาบาลของรัฐ เพื่อจัดหาอุปกรณ์ห้องผ่าตัดและอุปกรณ์การแพทย์อื่น ๆ สำหรับศูนย์การแพทย์ภัทรมหาราชานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดหาครุภัณฑ์ห้องผ่าตัด จำนวน 148 รายการ เพื่อรองรับการเปิดใช้อาคารโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ขนาด 400 เตียงที่คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงเดือนกรกฎาคม 2565มูลนิธิ
ภัทรมหาราชานุสรณ์
ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ
เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์
วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
กรมพระศรีสวางควัฒน
วรขัตติยราชนารี
964.66
12. โครงการจัดหาครุภัณฑ์สายการแพทย์ประกอบอาคารศูนย์รักษาโรคหัวใจ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ โดยให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดหาครุภัณฑ์สายการแพทย์ จำนวน 43 รายการ เพื่อรองรับการเปิดใช้อาคารศูนย์โรคหัวใจที่คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงเดือนเมษายน 2566มูลนิธิโรงพยาบาล
ภูมิพลอดุลยเดช
211.65
13. โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า มุ่งสู่ความเป็นเลิศระดับสากล วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า โดยให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงอาคารเจ้าฟ้าเพชรรัตน การสร้างห้องฝึกทักษะระบบจำลองด้านการแพทย์สิ่งแวดล้อมเสมือนพื้นที่กว้างระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และอุปกรณ์การแพทย์สำหรับศูนย์สถานการณ์จำลองด้านการแพทย์ทหารอาคารเฉลิมพระเกียรติมูลนิธิโรงพยาบาล
พระมงกุฎเกล้า
ในพระราชูปถัมป์
สมเด็จพระเทพ
รัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี
900.00
14. โครงการก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์พร้อมติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าเซลส์) โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ 48 พรรษา ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันอาคารเรียนมีไม่เพียงพอต่อกิจกรรมการศึกษาของโรงเรียนมูลนิธิร่วมน้ำใจ
ต้านภัยเอดส์
150.00
15. โครงการคัดกรองมะเร็งเต้านมโดยเครื่องเอ็กซเรย์เต้านม (Mammogram) ในสตรีกลุ่มเสี่ยงและด้อยโอกาส 4 หน่วย (รถเอ็กซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ 4 คัน) 4 ภาค ทั่วประเทศ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวในโอกาสเจริญพระชนมพรรษาครบ 70 พรรษา               28 กรกฎาคม 2565 โดยให้การสนับสนุนค่าใช้จ่าย
ในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของโครงการ เช่น การค้นหาผู้ที่มีความเสี่ยงและมีความผิดปกติของมะเร็งเต้านม การซักประวัติ การตรวจเต้านมโดยแพทย์ การตรวจเอ็กซเรย์เต้านม (Mammogram) และ              อัลตร้าซาวด์ การส่งต่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเพื่อเข้ารับการรักษา เป็นต้น
มูลนิธิกาญจนบารมี450.60
16. โครงการทำขาเทียมพระราชทาน 20,000 ขาและปรับปรุงศักยภาพมูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และโรงงานทำขาเทียมพระราชทาน โดยให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของโครงการ เช่น การจัดทำขาเทียมให้แก่คนพิการ การผลิตชิ้นส่วนขาเทียมให้แก่หน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง การค้นคว้า วิจัย และพัฒนาคุณภาพขาเทียม เป็นต้นมูลนิธิขาเทียม
ในสมเด็จพระศรีนครินทรา
บรมราชชนนี
112.56
รวมทั้งสิ้น 16 โครงการ8,239.93

                             2.2 ให้ กค. นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
 
6. เรื่อง (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. 2565 – 2570
                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. 2565 – 2570 (ร่างแผนปฏิบัติการฯ) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำร่างแผนปฏิบัติการฯ                             ไปดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต่อไปตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ 
                   สาระสำคัญของเรื่อง   
                   ปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มีบทบาทในการขับเคลื่อนและสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อประเทศไทยในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจและอุตสาหกรรม ด้านสุขภาพและการแพทย์ และด้านกฎหมาย รวมทั้งยังสามารถยกระดับการเติบโตของเศรษฐกิจเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ อีกทั้งแนวโน้มการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในประเทศก็มีการขยายตัวอย่างมาก ดังนั้นเพื่อเตรียมความพร้อมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและการแข่งขันของประเทศสู่การเป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้และนวัตกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จึงได้จัดทำ                  (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. 2565 - 257(ร่างแผนปฏิบัติการฯ) โดยมีวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยเกิดระบบนิเวศที่ครบถ้วนและเชื่อมโยงแบบบูรณาการเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น นำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนในปี พ.ศ. 2570” และมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้งเป็นกรอบแนวทางให้หน่วยงานภาครัฐภาคเอกชน และภาคการศึกษาที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนและดำเนินงานที่สอดคล้องกัน ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) การเตรียมความพร้อมของประเทศในด้านสังคม จริยธรรม กฎหมายและกฎระเบียบสำหรับการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ 2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสนับสนุนด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน 3) การเพิ่มศักยภาพบุคลากรและการพัฒนาการศึกษาด้านปัญญาประดิษฐ์ 4) การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และ 5) การส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและระบบปัญญาประดิษฐ์ในภาครัฐและภาคเอกชน โดยเมื่อสิ้นสุดการดำเนินงานตามร่างแผนปฏิบัติการฯ ในปี พ.ศ. 2570 จะทำให้เกิดประโยชน์ในภาพรวมต่อประเทศ เช่น มีมูลค่า                 ที่เกิดจากการจ้างงานและสร้างอาชีพในระบบเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมีจำนวนทรัพยากรบุคคลที่สามารถปรับทักษะและพัฒนาทักษะใหม่ทางด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อรองรับอาชีพและการทำงานในรูปแบบใหม่ในประเทศเพิ่มมากขึ้นผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมูลค่าของผลิตภัณฑ์และบริการในประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากการนำปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ รวมทั้งประชาชนในประเทศมีความเหลื่อมล้ำลดลงทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ เนื่องจากสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐได้อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นธรรม ซึ่งสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างแผนปฏิบัติการฯ ด้วยแล้ว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นชอบ/เห็นชอบในหลักการ/                     ไม่ขัดข้อง ตามที่ อว. เสนอ
 
7. เรื่อง การขอเพิ่มวงเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพิ่มวงเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line จากวงเงินเดิม 10,000 ล้านบาท เป็น 30,000 ล้านบาท จนถึงวันที่ 11 กันยายน 2567 ซึ่งเป็นวันที่วงเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564 จะครบกำหนดระยะเวลา 3 ปี ภายใต้เงื่อนไขเดิม ประกอบด้วยกู้เบิกเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน การทำ Trust Receipt (T/R) และการทำสัญญากู้เงินเมื่อทวงถาม (Call Loan) โดยจะพิจารณาทำสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินที่เสนอรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำที่สุดตามอัตราดอกเบี้ยตลาด โดยกระทรวงการคลัง (กค.) ไม่ค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ยจากการกู้เงินดังกล่าว ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   พน. รายงานว่า
                   1. คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)1 ได้รับนโยบายจาก พน. ให้ชะลอการนำค่าใช้จ่ายในการผลิตและซื้อไฟฟ้าจริงในงวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 2564 ที่สูงกว่าแผนตามสูตรการปรับค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (ค่า Ft)2 ประมาณ 38,943 ล้านบาท ซึ่งจะเรียกเก็บจากประชาชน โดยให้ กฟผ. ช่วยรับภาระดังกล่าวแทนประชาชนไปก่อน และ กกพ. จะพิจารณาส่งผ่านค่าใช้จ่ายในการพิจารณาค่า Ft ในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์สงครามระหว่างสหพันธรัฐรัสเซียและประเทศยูเครน ส่งผลให้ กฟผ. ต้องรับภาระค่า Ft สะสมถึงเดือนสิงหาคม 2565 ประมาณ 87,849 ล้านบาท ทำให้สภาพคล่องทางการเงินของ กฟผ. ในปี 2565 ลดลงอย่างต่อเนื่อง
                   2. สถานการณ์การกู้เงินในปัจจุบันของ กฟผ.
                             2.1 กฟผ. ได้รับเงินกู้จากการกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินในปี 2565 – 2567 ภายใต้กรอบวงเงินไม่เกิน 25,000 ล้านบาท โดยวิธีการจัดหาเงินกู้ในรูปแบบ Term Loan อายุไม่เกิน 3 ปี                 (ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 8 มีนาคม 2565) เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565
                             2.2 กฟผ. อยู่ระหว่างดำเนินการนำเสนอการกู้เงินเพื่อบริหารภาระค่า Ft ตามนโยบายของรัฐประจำปีงบประมาณ 2566 ภายใต้กรอบวงเงินไม่เกิน 85,000 ล้านบาท ซึ่งหากได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว กฟผ. คาดว่าจะได้รับเงินกู้ดังกล่าว ในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2565 ซึ่งไม่ทันต่อการรองรับการขาดสภาพคล่องในช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายน 2565 ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องมีวงเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line เพิ่มขึ้น ตามคาดการณ์ในเดือนสิงหาคม 2565 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องวงเงินประมาณ 30,000 ล้านบาท เนื่องจาก กฟผ. ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานสูงมาก ได้แก่ ค่าเชื้อเพลิง ค่าซื้อกระแสไฟฟ้า งบลงทุน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ โดยรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงในส่วนของค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อกระแสไฟฟ้าในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2565 สูงกว่าประมาณการจำนวน 23,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นกว่าประมาณการที่คาดการณ์ไว้
                   3. คณะกรรมการ กฟผ. ในคราวประชุมครั้งที่ 9/2565 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 มีมติเห็นชอบการขอเพิ่มวงเงินกู้ระยะสั้นแบบ Credit Line จากวงเงินเดิมปีละ 10,000ล้านบาท เป็น 30,000               ล้านบาท จนถึงวันที่ 11 กันยายน 2567 ภายใต้เงื่อนไขเดิม ประกอบด้วย กู้เบิกเกินบัญชี ตั๋วสัญญาใช้เงิน การทำ Trust Receipt (T/R) และการทำสัญญากู้เงินเมื่อทวงถาม (Call Loan) โดยจะพิจารณาทำสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินที่เสนอรูปแบบที่มีต้นทุนต่ำที่สุดตามอัตราดอกเบี้ยตลาด
__________________
1กกพ. ในคราวประชุม ครั้งที่ 27/2564 เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2564 และครั้งที่ 29/2564 เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2564 มีมติเห็นชอบค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (ค่า Ft) ขายปลีก สำหรับเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าในใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า งวดเดือนกันยายน - ธันวาคม 2564 เท่ากับ -15.32 สตางค์ต่อหน่วย ตามแนวทางการพิจารณาเกลี่ยค่า Ft ให้คงที่ตลอดปี 2564 เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ใช้ไฟฟ้าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
2Ft ย่อมาจากคำว่า Fuel Adjustment Charge (at the given time) หมายถึง ค่าไฟฟ้าที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. และค่าซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชนและประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอยู่นอกเหนือการควบคุมของการไฟฟ้า
 
8. เรื่อง การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2565 ครั้งที่ 3
                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ                    (คณะกรรมการฯ) เสนอดังนี้
                   1. อนุมัติตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ตามมติที่ประชุมครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 ดังนี้
                             1.1 อนุมัติการปรับปรุงแผนการก่อหนี้ใหม่ที่ปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ 14,177 ล้านบาท จากเดิม 1,415,103.57 ล้านบาท เป็น 1,429,280.57 ล้านบาท แผนการบริหารหนี้เดิมที่ปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ 1,500 ล้านบาท จากเดิม 1,501,163.56 ล้านบาท เป็น 1,502,663.56 ล้านบาท และแผนการชำระหนี้ที่ปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ 20,835.80 ล้านบาท จากเดิม 363,269.01 ล้านบาท เป็น 384,104.81 ล้านบาท รวมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานที่บรรจุกรอบวงเงินกู้ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ประจำปีงบประมาณ 2565 ปรับปรุงครั้งที่ 3 เร่งรัดการดำเนินการตามแผนดังกล่าวด้วย
                             1.2 อนุมัติการบรรจุโครงการพัฒนา โครงการ และรายการเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2565 ครั้งที่ 3 จำนวน 1 โครงการ/รายการ [แผนการก่อหนี้ใหม่ : แผนงานขยายเขตและปรับปรุงระบบจำหน่ายไฟฟ้า ปี 2565 – 2566 (การไฟฟ้านครหลวง)] ของการไฟฟ้านครหลวง
                             1.3 อนุมัติให้รัฐวิสาหกิจ จำนวน 1 แห่ง คือ การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ (Debt Service Coverage Ratio : DSCR) ต่ำกว่า 1 สามารถกู้เงินและบริหารหนี้ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2565 ปรับปรุงครั้งที่ 3 โดยให้รัฐวิสาหกิจดังกล่าวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการด้วย
                   2. อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มาตรา 7 แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2541 มาตรา 7 แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. 2545 และมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 (พระราชกำหนดกู้เงินโควิด 19ฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564) รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนา และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2565 ปรับปรุงครั้งที่ 3 และให้กระทรวงการคลัง (กค.) เป็นผู้พิจารณาการกู้เงินวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เองก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                    คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ (คณะกรรมการฯ) ในการประชุมครั้งที่ 2/2565 เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 มีมติเห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ประจำปีงบประมาณ 2565 ครั้งที่ 3 ส่งผลให้วงเงินแผนการก่อหนี้ใหม่ปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ 14,177 ล้านบาท แผนการบริหารหนี้เดิมปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ 1,500 ล้านบาท และแผนการชำระหนี้ปรับเพิ่มขึ้นสุทธิ 20,835.80 ล้านบาท โดยมีสาระสำคัญของการปรับปรุงแผนฯ ในครั้งนี้ เช่น (1) การกู้เงินเพื่อสนับสนุนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับการลงทุนพัฒนาโครงการที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ปัจจุบันและความก้าวหน้าโครงการ เช่น การปรับเพิ่มวงเงินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุดที่ 2 ระยะที่ 1 ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) จำนวน 140 ล้านบาท การปรับเพิ่มวงเงินโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาพระนครศรีอยุธยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา - บางปะอิน - วังน้อย - อุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของ กปภ. จำนวน 226.05 ล้านบาท (2) การกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนาและเพื่อดำเนินโครงการหรือเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการทั่วไปของรัฐวิสาหกิจ เช่น การปรับเพิ่มเงินกู้ระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องในรูปแบบ Credit Line ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่อง และเพื่อประโยชน์ในการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชน จำนวน 20,000 ล้านบาท การปรับเพิ่มวงเงินแผนงานขยายเขตและปรับปรุงระบบจำหน่ายไฟฟ้า ปี 2565 – 2566 ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เพื่อรองรับการให้บริการผู้ขอใช้บริการไฟฟ้าในปี 2565 จำนวน 2,300 ล้านบาท และ (3) การปรับโครงการหนี้โดยการปรับเพิ่มวงเงินพันธบัตร กคช. พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 1 (วงเงิน 2,000 ล้านบาท) พันธบัตร กคช. พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 1 (วงเงิน 1,000 ล้านบาท) และเงินกู้ธนาคารกรุงไทย (วงเงิน 2,000 ล้านบาท) ที่จะครบกำหนดของ กคช. เพื่อให้สภาพคล่องทางการเงินอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม รวมทั้งในครั้งนี้คณะกรรมการฯ ได้ขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการพัฒนา โครงการ และรายการที่จะขอบรรจุเพิ่มเติมและต้องเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี จำนวน 1 โครงการ/รายการ [แผนการก่อหนี้ใหม่ : แผนงานขยายเขตและปรับปรุงระบบจำหน่ายไฟฟ้า ปี 2565 – 2566 (การไฟฟ้านครหลวง)] โดยการปรับปรุงแผนฯ ในครั้งนี้ ได้จัดทำขึ้นภายใต้กรอบกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง                                    ซึ่งกระทรวงการคลัง (กค.) คาดการณ์ว่าระดับประมาณการหนี้สาธารณะคงค้างต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศภายหลังการปรับปรุงแผนฯ ในครั้งนี้จะอยู่ที่ร้อยละ 61.30 (กรอบไม่เกินร้อยละ 70) ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง
                   2. ในแผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2565 ปรับปรุงครั้งที่ 3 มีรัฐวิสาหกิจจำนวน 1 แห่ง คือ กคช.  ที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ (Debt Service Coverage Ratio : DSCR) นับแต่มีการก่อหนี้ในอัตราต่ำกว่า 1 ที่ต้องเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี ตามระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2561 ข้อ 12 ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้รัฐวิสาหกิจดังกล่าวสามารถกู้เงินใหม่และบริหารหนี้เดิมภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2565 ปรับปรุงครั้งที่ 3 โดยให้รัฐวิสาหกิจดังกล่าวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการด้วย
 
9. เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ                ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2564
                    คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเสนอ  ผลการดำเนินงานตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2564  [เป็นการดำเนินการ                   ตามพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 10 (6) ที่บัญญัติให้คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติมีหน้าที่และอำนาจติดตาม ประเมินผล และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคชีนแห่งชาติ1 ให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง] ซึ่งคณะกรรมการฯ [โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทินฯ) เป็นประธาน] ได้ประชุมครั้งที่ 1/2565  เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2565 มีมติรับทราบผลการดำเนินงานฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
                   1. สรุปผลการดำเนินงานฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2564 ภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 ด้าน ประกอบด้วย

ประเด็นผลการดำเนินงาน เช่น
ยุทธศาสตร์ที่ 1 พัฒนาระบบและบริหารจัดการงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคให้มีประสิทธิภาพทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน เป็นการมุ่งสร้างความมั่นคงด้านวัคซีนเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเป็นธรรมและทันการณ์มีการพัฒนาระบบบริหารการจัดหาวัคซีนเพื่อให้มีวัคซีนสำรองที่เพียงพอและลดปัญหาการขาดแคลนวัคซีนที่จำเป็น
1. อัตราครอบคลุมของการได้รับวัคซีนของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย- กำหนดให้มีการให้บริการวัคซีนพื้นฐาน (จำนวน 9 ชนิด)2 กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย (เด็กแรกเกิด-12 ปี) ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สามารถดำเนินการได้ 2 ชนิด คือ วัคซีนป้องกันวัณโรคในเด็กแรกเกิดและวัคซีนโปลิโอ และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สามารถดำเนินการได้ 1 ชนิด คือ วัคซีนป้องกันวัณโรคในเด็กแรกเกิด
- กำหนดให้มีการให้บริการวัคซีนป้องกันคอตีบ-บาดทะยักแก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และวัคซีนมะเร็งปากมดลูกแก่นักเรียนหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2564 ไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามที่กำหนดได้
2. จำนวนชนิดวัคซีนมีเพียงพอใช้ทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน- กำหนดแนวทางการให้บริการวัคซีนมะเร็งปากมดลูกแก่เด็กนักเรียนหญิง                ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 แต่เนื่องจากสถานการณ์ขาดแคลนวัคซีนดังกล่าวทั่วโลก            ทำให้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2564 ประสบปัญหาไม่สามารถจัดหาวัคซีนฯ ให้บริการได้
- รณรงค์ให้วัคซีนป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน และโปลิโอในพื้นที่เสี่ยงหรือกลุ่มเสี่ยง แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทำให้ต้องระดมสรรพกำลังในการตอบโต้การระบาดฯ จึงเป็นอุปสรรคต่อการรณรงค์ให้วัคซีนดังกล่าว
3. บรรจุวัคซีนชนิดใหม่ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้บรรจุวัคซีนโรต้า3 (วัคซีนป้องกันโรคอุจจาระร่วง
จากไวรัสโรต้าในเด็กเล็ก) ที่เป็นวัคซีนชนิดใหม่ไว้ในแผนงานสร้างภูมิคุ้มกันโรคและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้จัดหาวัคซีนโรต้ามาให้บริการ
แก่กลุ่มเป้าหมายเป็นวัคซีนชนิดหยอดเข้าทางปากสำหรับเด็กอายุ 2 เดือน และ             4 เดือน  นอกจากนี้ ได้จัดทำโครงการนำร่องการให้บริการวัคซีนบาดทะยัก-คอตีบ-  ไอกรน  (Tdap) ในหญิงตั้งครรภ์ (เพื่อถ่ายทอดภูมิคุ้มกันจากแม่ไปสู่ลูก) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการดำเนินงาน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ยังไม่สามารถดำเนินการบรรจุวัคซีนดังกล่าวเป็นวัคซีนชนิดใหม่ไว้ในแผนงานฯ ได้ โดยได้มีการชะลอการบรรจุวัคซีนฯ สำหรับหญิงตั้งครรภ์เข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และผลกระทบด้านงบประมาณ
4. ความสำเร็จในการจัดซื้อวัคซีนในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉินมีการผลักดันให้มีการจัดซื้อวัคซีนแบบหลายปี (2 ปี) มาตั้งแต่ปี 2562 เพื่อให้ผู้ซื้อมีอำนาจต่อรองราคามากขึ้นและลดความเสี่ยงของการขาดแคลนวัคซีน โดยในการจัดซื้อวัคซีนแบบหลายปี ในภาวะปกติ สปสช. ได้ประเมินการบริหารปริมาณวัคซีนคงคลัง 18 เดือน (ปริมาณวัคซีนที่ใช้ใน 12 เดือน รวมกับปริมาณวัคซีนสำรอง 6 เดือน) แล้ว               มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะรองรับการใช้วัคซีนในประเทศ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนวัคซีนสำรองจาก 6 เดือนเป็น 12 เดือน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2564 
- การจัดหาวัคซีนรองรับกรณีโรคระบาด ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สามารถดำเนินการจัดหาวัคซีนได้ 2 ชนิด ได้แก่ 1) วัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยองค์การเภสัชกรรมได้พัฒนาและผลิตวัคซีนแบบใช้พ่นทางจมูก ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศแรก ๆ ที่มีการพัฒนาวัคซีนและมีการทดลองทางคลินิก ทำให้องค์การฯ ได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติจากสภาการวิจัยแห่งชาติ และ 2) วัคซีนโควิด-19 โดยการจองล่วงหน้ากับบริษัทแอส   ตร้าเซนเนก้า จำนวน 61 ล้านโดส ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไม่สามารถดำเนินการสำรองวัคซีนกรณีเกิดการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ในคลังผู้ผลิตได้ สำหรับวัคซีนโควิด-19  สามารถจัดหาวัคซีนและให้บริการได้ทั้งหมด 103.5 ล้านโดส (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2564  ทั้งวัคซีน Astrazeneca Sinovac Pfizer Sinopharm และ Moderna
5. ข้อมูลชนิดและปริมาณความต้องการรายวัคซีนที่จำเป็นในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคและวัคซีนที่ใช้ตอบโต้การระบาดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2564 สถาบันวัคซีนแห่งชาติ (สวช.) ได้พัฒนา            ซอฟแวร์ระบบข้อมูลและบริหารจัดการวัคซีน เพื่อใช้ประโยชน์ในการสนับสนุนข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายเกี่ยวกับการวิจัยพัฒนา การผลิต และการใช้วัคซีนในประเทศไทย  รวมถึงการดำเนินธุรกิจด้านวัคซีนและมีการพัฒนาระบบเฝ้าระวังสอบสวนอาการภายหลังได้รับการสร้างภูมิคุ้มกันโรคมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สถานพยาบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถรายงานผ่านระบบออนไลน์ได้ และใช้เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลที่สามารถประมวลผลและแสดงผลการรายงานสถานการณ์ทางระบาดวิทยาแบบ Real Time
ยุทธศาสตร์ที่ 2 ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยพัฒนา และการผลิตวัคซีนรองรับความต้องการในการป้องกันโรคของประเทศ เป็นการสร้างศักยภาพในการพึ่งพาตนเองด้านวัคซีน  โดยการส่งเสริมและสนับสนุนทุนในการวิจัยพัฒนาวัคซีนเป้าหมายและวัคซีนเพื่อตอบโต้การระบาด เพื่อให้สามารถต่อยอดสู่การผลิตวัคซีนในระดับอุตสาห   กรรมและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาหรือรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการผลิตวัคซีน
1. วัคซีนที่อยู่ระหว่างการวิจัยพัฒนาดำเนินการให้มีวัคซีนที่ผลิตอยู่ในขั้นตอนการศึกษาที่ไม่ได้วิจัยในมนุษย์ โดยได้ศึกษาวัคซีนป้องกันโรค เช่น โรคไข้ซิกา4 ที่ทำการทดลองในสัตว์ ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้ทดลองในหนู และปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้ทดลองในลิง ผลการศึกษาการสร้างภูมิคุ้มกันและการป้องกันการติดเชื้อซิกาไวรัสหลังได้รับซิกาวัคซีนชนิดเชื้อตายในลิงพบว่า มีผลเป็นบวกและลิงมีความปลอดภัย
2. วัคซีนที่ผลิตได้ในประเทศและได้รับการขึ้นทะเบียนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2564 ยังไม่สามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำฤดูกาลชนิด 3 สายพันธุ์ที่ผลิตได้ตั้งแต่ต้นน้ำ เนื่องจากผลการศึกษาที่แสดงถึงประสิทธิผล ความปลอดภัย และการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันภายหลังได้รับวัคซีนยังไม่ชัดเจน รวมถึงวัคซีนมะเร็งปากมดลูก ซึ่งการถ่ายทอดเทคโนโลยีไม่เป็นไปตามแผนเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และอยู่ระหว่างรอผลการศึกษาความคงตัวของวัคซีน (เป็นการยืนยันถึงคุณภาพวัคซีนตลอดอายุการใช้งาน)
ยุทธศาสตร์ที่ 3 ส่งเสริม สนับสนุนอุตสาหกรรมวัคซีนภายในประเทศให้มีความเข้มแข็งและส่งออกได้ เป็นการเสริมสร้างศักยภาพของอุตสาหกรรมวัคซีนของประเทศ โดยการแสวงหาและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ  รวมทั้งการกำหนดนโยบาย มาตรการ หรือระเบียบปฏิบัติที่สนับสนุนให้เกิดการลงทุน
1. มาตรการสนับสนุน             อุตสาหกรรมวัคซีนในประเทศในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2564 มีมาตรการส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์วัคซีนที่ผลิตได้ในประเทศเป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมสนับสนุน สวช. จึงได้จัดทำระเบียบคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์การคัดเลือกและวิธีการจัดซื้อยาที่เป็นวัคซีนที่รัฐต้องการส่งเสริมและสนับสนุน พ.ศ. 2563 (ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2563) เพื่อส่งเสริมหรือสนับสนุนผู้ผลิตวัคซีนภายในประเทศ และได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาคัดเลือกยาที่เป็นวัคซีนซึ่งผลิตในประเทศตามระเบียบฯ
2. มูลค่ารวมการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตและส่งออกวัคซีนระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนแม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 สวช. ได้ผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนในการร่วมลงทุนผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 เกิดความร่วมมือในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีจนสามารถผลิตวัคซีนชนิด viral vector5 และส่งมอบให้กรมควบคุมโรคได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวัคซีน เช่น การเพิ่มศักยภาพการแบ่งบรรจุวัคซีน
ยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนาศักยภาพบุคคลากรและโครงสร้างพื้นฐานด้านวัคซีนของประเทศให้รองรับภารกิจความมั่นคงด้านวัคซีนได้อย่างเหมาะสม เป็นการให้ความสำคัญกับการผลิต การพัฒนา และการรักษาบุคลากรในสาขาที่จำเป็นและขาดแคลนให้เพียงพอ
1. จำนวนบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนมีเพียงพอในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สวช. สนับสนุนทุนการศึกษาต่อต่างประเทศให้บุคลากรจำนวน 2 คน ในด้านพยาธิวิทยาและด้านภูมิคุ้มกันและโรคที่เกิดจากการอักเสบ และสนับสนุนงบประมาณการดำเนินงานโครงการพัฒนาบุคลากรด้านพัฒนากระบวนการผลิตให้โรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดกิจกรรมการพัฒนาศักยภาพบุคลากรมาเป็นการอบรมออนไลน์ ประกอบกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้านวัคซีนต้องวางแผนรับมือตอบโต้สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินโครงการพัฒนาบุคลากรได้
2. โครงสร้างพื้นฐานด้านวัคซีนได้รับการพัฒนาเพื่อให้ได้มาตรฐานสากลในปีงบประมาณ พ ศ. 2563-2564 ศูนย์สัตว์ทดลองแห่งชาติ มหาวิทยาลัยมหิดลสามารถรักษาระบบมาตรฐานสัตว์ทดลองสากล6 (Association for Assessment and Accreditation of Laboratory Animal Care International: AAALAC) และ ISO9001 ในการผลิตสัตว์ทดลอง (หนูเมาส์ หนูตะเภา และกระต่าย) ที่มีคุณภาพมาตรฐานเพื่อบริการให้แก่นักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ได้ รวมถึงศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถานสัตว์ทดลองเพื่อการวิจัย มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้รับการรับรองมาตรฐานสัตว์ทดลองสากลเช่นกัน และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นห้องปฏิบัติการที่ดีตามหลักการของ OECD Good Laboratory Practice (OECD GLP)7
3. เครือข่ายศูนย์ทรัพยากรชีวภาพทางการแพทย์เพื่อการวิจัยด้านวัคซีนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีการขยายเครือข่ายศูนย์ทรัพยากรชีวภาพฯ ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2562 สู่สถาบันการศึกษาและองค์กรต่าง ๆ เพื่อสนับสนุน           การยกระดับการจัดเก็บและให้บริการทรัพยากรชีวภาพและข้อมูลของศูนย์ทรัพยากรชีวภาพในเครือข่าย อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 การบริหารจัดการเครือข่ายศูนย์ทรัพยากรชีวภาพฯ ไม่มีการดำเนินการ เนื่องจากไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุน
ยุทธศาสตร์ที่ 5  เสริมสร้างขีดความสามารถขององค์กรภาคีเครือข่ายด้านวัคซีนของประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการสนับสนุน ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศให้สามารถดำเนินการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับความจำเป็นด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติ
ความร่วมมือขององค์กรภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศในปีงบประมาณ  พ.ศ. 2563–2564  จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้มีการแสวงหาความร่วมมือและเจรจากับหน่วยงานด้านการวิจัยพัฒนาวัคซีนชั้นนำระหว่างประเทศทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ประชาชนมีวัคชีนโควิด-19 ใช้ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประเทศต่าง ๆ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน  สาธารณรัฐเกาหลี รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวัคซีน ซึ่งเป็นการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด-19 และการเพิ่มศักยภาพการแบ่งบรรจุวัคซีน นอกจากนี้มีการ     บูรณาการงบประมาณระหว่าง สวช. และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ วงเงิน 20 ล้านบาท  เพื่อสนับสนุนองค์กรภาคีเครือข่ายในการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ด้วย

                   2. ปัญหา/อุปสรรคที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและข้อเสนอแนะในการดำเนินงานด้านวัคซีน สรุปได้ ดังนี้
                             2.1 ปัจจัยภายนอก

สถานการณ์ปัญหาและอุปสรรค
1. การแพร่ระบาดของ                 โควิด -19หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องระดมทรัพยากรต่าง ๆ  เพื่อตอบโต้การระบาด เช่น งานเฝ้าระวังโรค งานสอบสวนโรค  การวางแผนการจัดหา จัดสรร และให้บริการวัคซีนโควิด -19 ทำให้การดำเนินงานตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ต้องล่าช้าออกไป
- ความต้องการวัคซีนเพื่อป้องกันและควบคุมโรค ทำให้วัสดุอุปกรณ์และครุภัณฑ์  ต่าง ๆ  ซึ่งมีความสำคัญและจำเป็นต้องใช้ในกระบวนการผลิตและการบรรจุวัคซีนที่มีแนวโน้มจะขาดแคลนและไม่สมดุลต่อความต้องการที่สูงขึ้น ราคาจำหน่วยจึงมีการปรับตัวสูงขึ้น
- เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าปฏิบัติงานได้ตามมาตรการลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโควิด -19
ข้อเสนอแนะ  : ควรพิจารณาทบทวนแผนการดำเนินงานที่เป็นภารกิจและแผนรองรับสถานการณ์การระบาดให้มีความเหมาะสม เพื่อให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯ ได้
2. การขาดแคลนของวัคซีนมะเร็งปากมดลูกทั่วโลกปริมาณวัคซีนมะเร็งปากมดลูกยังคงไม่เพียงพออย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความไม่สมดุลของความต้องการและปริมาณวัคซีนทั่วโลกที่สะสมมาหลายปี ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถจัดหาวัคซีนมะเร็งปากมดลูกเพื่อให้บริการในกลุ่มเด็กนักเรียนหญิงขั้นประถมศึกษาปีที่ 5  ได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2564 และอาจจะรวมไปถึงปี 2565 ด้วย นอกจากนี้ ในปี 2573 คาดการณ์ว่าความต้องการวัคซีนมะเร็งปากมดลูกจะสูงขึ้นถึง 120 ล้านโดส
ข้อเสนอแนะ : ควรผลักดันให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนมะเร็งปากมดลูกและนำเข้าผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป   โดยจะต้องดำเนินการส่งเอกสารทะเบียนตำรับยาเพื่อยื่นขึ้นทะเบียนวัคซีนในประเทศไทย

 
                             2.2 ปัจจัยภายใน
                  

ด้านปัญหาและอุปสรรค
1. การบริหารจัดการ- นโยบายมุ่งเน้นการพัฒนาวัคซีนหลายชนิดในช่วงระยะเวลาเดียวกัน แต่บุคลากรและสถานที่ปฏิบัติการเพื่อรองรับงานค่อนข้างมีจำกัด
- ในการบริหารจัดการโครงการวิจัยพัฒนาวัคซีนขนาดใหญ่ ผู้จัดการโครงการที่ทำหน้าที่ติดตาม ประเมินการดำเนินงาน แก้ไขปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ มีไม่เพียงพอ
ข้อเสนอแนะ  : การพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของวัคซีนเป้าหมายที่ควรมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนรวมทั้งแนวทางการสนับสนุนโครงการอย่างเป็นรูปธรรม
2. งบประมาณโครงการส่วนใหญ่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินงานตามแผนงานโครงการที่สอดคล้องตามตัวชี้วัดและค่าเป้าหมาย  โดยเฉพาะในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และบางโครงการได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ เนื่องจากหน่วยงานต้องปรับแผนการดำเนินงานรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - 19
ข้อเสนอแนะ  : ควรมีหน่วยงานกลางในการประสานการยื่นขอรับงบประมาณจากแหล่งงบประมาณต่าง ๆ  หรือจัดสรรงบประมาณให้โดยตรง  กรณีหน่วยงานได้รับงบประมาณไม่เพียงพอต่อการดำเนินงานอาจพิจารณาปรับกิจกรรมให้สอดคล้องกับงบประมาณที่ได้รับ
3. บุคลากรจำนวนบุคลากรไม่เพียงพอ (เช่น บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านวัคซีน) เป็นบุคลากรใหม่ หรือมีการเปลี่ยนแปลงเจ้าหน้าที่
ข้อเสนอแนะ :  ส่งเสริมให้บุคลากรได้รับการฝึกอบรม ฝึกงาน และศึกษาจากหน่วยงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติ  โดยจัดสรรทุนหรืองบประมาณในการสนับสนุนเพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. เทคโนโลยี องค์ความรู้และเทคโนโลยีภายในประเทศสำหรับการพัฒนาวัคซีน  รวมถึง                   องค์ความรู้ในการพัฒนาและการวิเคราะห์สูตรสำหรับการผลิตวัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนยังไม่เพียงพอ 
ข้อเสนอแนะ :  แสวงหาความร่วมมือกับหน่วยงานผู้ผลิตชั้นนำที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาวัคซีนจากเซลล์เพาะเลี้ยงและมีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียน เพื่อให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนจากหน่วยงาน และเข้าร่วมอบรมเพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้ รวมทั้งขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ 
5. วัสดุอุปกรณ์ / โครงสร้างพื้นฐานวัสดุอุปกรณ์ เช่น เครื่องจักรหลักที่ใช้ในการผลิตวัคซีนไอกรนไม่เพียงพอ เครื่องจักร/ เครื่องมือมีอายุการใช้งานยาวนาน มีการชำรุดและซ่อมแซมหลายครั้ง
โครงสร้างพื้นฐาน  เช่น สถานที่ผลิตที่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน Good Manufacturing Practice (GMP)  สำหรับการขยายกำลังการผลิตในระดับอุตสาหกรรมเพื่อการทดสอบในมนุษย์ไม่เพียงพอ
ข้อเสนอแนะ : สนับสนุนงบประมาณในการสร้างห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยให้เพียงพอที่จะรับมือกับโรคระบาดในอนาคต รวมถึงการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ให้เพียงพอต่อการดำเนินการ จัดซื้อเครื่องจักรใหม่เพื่อทดแทนของเดิมที่ชำรุด นอกจากนี้ ควรสนับสนุนการปรับปรุงหรือก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรองรับการผลิตเพื่อใช้ในมนุษย์ตามมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสนับสนุนวัคซีนต้นแบบในภาคอุตสาหกรรม เพื่อใช้เป็นรากฐานสำหรับการวางแผนสร้างโครงการพื้นฐานด้านโรงงานระดับอุตสาหกรรมต่อไป
6. การประสานงาน
 
การประสานงานระหว่างหน่วยงานภายในประเทศใช้ระยะเวลานานและค่อนข้างมีความยุ่งยากในการเจรจาเรื่องข้อตกลงแบ่งสิทธิประโยชน์ระหว่างหน่วยงาน รวมถึงสัญญารักษาความลับในการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นองค์ความรู้จำเพาะระหว่างหน่วยงาน
ข้อเสนอแนะ : ส่งเสริมให้มีการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อลดภาระและแรงกดดันต่อผู้ปฏิบัติงาน

 
­­­­­­­­­­­­­­­______________________
1คณะรัฐมนตรีมีมติ (3 มีนาคม 2563) เห็นชอบร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2563-2565  ภายใต้กรอบงบประมาณ 11,078.95 ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
2วัคซีนพื้นฐาน คือ วัคซีนที่เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 12 ปี ควรได้รับเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันสำหรับป้องกันไม่ให้เกิดโรคร้ายในอนาคตหรือช่วยลดความรุนแรงเมื่อเกิดโรคได้จำนวน 9 ชนิด [ไม่นับรวมวัคซีนรวมหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR)] แบ่งตามกลุ่มอายุประกอบด้วย 1) กลุ่มเด็กแรกเกิด : วัคซีนป้องกันวัณโรค (BCG) 2) กลุ่มเด็กอายุ 6 เดือน : วัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี (DTP-HB3) และวัคซีนโปลิโอ (OPV3) 3) กลุ่มเด็กอายุ 1 ปี : วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ (LAJE1) 4) กลุ่มเด็กอายุ 1 ปี 6 เดือน วัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี (DTP-HB4) และวัคซีนโปลิโอ (OPV4) 5) กลุ่มเด็กอายุ 2 ปี 6 เดือน : วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ (LAJE2) และ 6) กลุ่มเด็กอายุ 4 ปี : วัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนตับอักเสบปี (DTP-HB5) และวัคซีนโปลิโอ (OPV5)
3ในปี 2563 วัคซีนโรต้าได้ถูกบรรจุในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เนื่องจากเป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วงในเด็กเล็กที่พบบ่อยที่สุดทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก
4โรคไข้ซิกาเป็นโรคที่เกิดจากไวรัสซิกาโดยมียุงลายเป็นพาหะ มีอาการคล้ายไข้เลือดออก ขณะนี้ยังไม่พบรายงานการติดเชื้อในประเทศไทยหรือประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศไทยจึงอยู่ในระยะเฝ้าระวัง
5วัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ โดยใช้ไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์หรือไม่สามารถแบ่งตัวได้อีก ตัดแต่งพันธุกรรมเพื่อใช้เป็นพาหะ เป็นวัคซีนประเภทที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี เนื่องจากเลียนแบบการติดเชื้อที่ใกล้เคียงกับการติดเชื้อตามธรรมชาติ
6ระบบมาตรฐานสัตว์ทดลองสากลเป็นการรับรองที่เอานำมาตรฐานด้านการเลี้ยงและการใช้สัตว์ทดลองซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลกมาพิจารณาร่วมกับกฎหมายและข้อกำหนดของประเทศที่ขอการรับรอง เช่น ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติการใช้สัตว์ทดลองเพื่องานวิทยาศาสตร์  และจรรยาบรรณการใช้สัตว์ที่กำหนดโดย สวช. นอกจากนี้ ยังนำเอาข้อกำหนดสากลอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อกำหนดด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยมาพิจารณาร่วมด้วย โดยมุ่งเน้นให้มีการดูแลและใช้สัตว์อย่างมีคุณธรรมตลอดเวลาการทดสอบหรือวิจัย
7OECD GLP ระบบคุณภาพที่ช่วยจัดการห้องปฏิบัติการให้มีมาตรฐาน นิยมใช้ห้องปฏิบัติการที่เน้นทางด้านการทดสอบความปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้ทดลองในมนุษย์ ตามหลักเกณฑ์ของภาคีเครือข่ายองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา  (Organization for Economic Co-operation and Development: OECD)
8GMP เป็นมาตรฐานขั้นต้นที่โรงงานต่าง ๆ พึงมีก่อนการเข้าสู่มาตรฐานต่อ ๆ เช่น มาตรฐาน IS09000 โดย GMP หลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตสินค้า และเป็นข้อกำหนดขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นในขั้นตอนการผลิตและควบคุมคุณภาพ โดยผู้ผลิตจะต้องปฏิบัติตามเพื่อผลิตสินค้าที่มีความปลอดภัยด้วยการป้องกันและกำจัดความเสี่ยงที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภคได้ ซึ่งหลักการของ GMP ครอบคลุมตั้งแต่สถานที่ตั้งของสถานประกอบการ โครงสร้างอาคาร กระบวนการผลิตที่ดี มีความปลอดภัย และมีคุณภาพได้มาตรฐานทุกขั้นตอน นับตั้งแต่เริ่มต้นวางแผนการผลิต ระบบควบคุมตั้งแต่วัตถุดิบ ระหว่างการผลิต ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป การจัดเก็บ การควบคุมคุณภาพ และการขนส่งจนถึงผู้บริโภค มีระบบบันทึกข้อมูล ตรวจสอบและติดตามผลคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ รวมถึงระบบการจัดการที่ดีในเรื่องสุขอนามัย เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สุดท้ายมีคุณภาพและความปลอดภัยเมื่อถึงมือผู้บริโภค
 
10. เรื่อง รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563  ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
                    คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ รายงานประจำปีงบประมาณ                  พ.ศ. 2563  ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) [เป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 มาตรา 46                    ที่บัญญัติให้ กกพ. จัดทำรายงานประจำปี เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน คณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาทุกสิ้นปีงบประมาณและเปิดเผยต่อสาธารณชน] โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
                   1. ผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563

หัวข้อประเด็นสำคัญ เช่น
1. ผลการดำเนินงานของการกำกับการประกอบกิจการพลังงาน ประจำปีงบประมาณ               พ.ศ. 25631.1 กำกับการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนผ่านมาตรการจูงใจด้านราคารับซื้อไฟฟ้าและส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าใช้เอง โดยมีโครงการที่สำคัญ เช่น โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาสำหรับภาคประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัย
1.2 กำกับกิจการไฟฟ้า โดยออกมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้า บรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เช่น อุดหนุนผู้ใช้ไฟฟ้าที่ด้อยโอกาสใช้ฟรี ให้บริการไฟฟ้าฟรีสำหรับบ้านอยู่อาศัย (ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีมิเตอร์               5 แอมป์ แต่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วย) ตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายน 2563 รวม 9,795 ล้านบาท ลดค่าไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยทั่วไป ตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2563 รวม 11,663 ล้านบาท ลดอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) เหลือเฉลี่ย 3.63  บาท/หน่วย  ตลอดทั้งปี 2563 และลดอัตราค่าบริการไฟฟ้าสุทธิร้อยละ 3 ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท รวมทั้งมีการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดย กกพ. ได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าและการจัดการระบบจำหน่ายไฟฟ้าที่เหมาะสมสำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้าของยานยนต์ไฟฟ้า ราคา                    2.64 บาทต่อหน่วยเป็นระยะเวลา 2 ปี
1.3 กำกับกิจการก๊าซธรรมชาติ โดย กกพ. ได้ปรับปรุงข้อบังคับเกี่ยวกับการเปิดให้ใช้หรือเชื่อมต่อระบบส่งก๊าชธรรมชาติและสถานีแอลเอ็นจีแก่บุคคลที่สาม เพื่อเปิดโอกาสให้มีผู้จัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นและให้ใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซรวมทั้งหมด                  5 ราย* นอกจากนี้มีการกำกับอัตราค่าบริการขนส่งก๊าชธรรมชาติทางท่อผ่านระบบส่งก๊าชธรรมชาติของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เช่น ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่ระยอง มีส่วนต้นทุนคงที่ 8.59 บาทต่อล้านบีทียู และที่ขนอม มีส่วนต้นทุนคงที่ 14.22 บาทต่อล้านบีทียู เพื่อให้สะท้อนต้นทุนและภาระค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม
1.4  ส่งเสริมการประกอบกิจการพลังงานให้มีประสิทธิภาพ โดยมีการออกระเบียบ กกพ. ว่าด้วยมาตรการป้องกัน และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับผู้ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง รวมถึงการสนับสนุนศึกษา วิจัย สาธิตการปรับปรุงเทคโนโลยีการประกอบกิจการไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ และเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย เช่น โครงการเทคโนโลยีการแปลงขยะอินทรีย์จากตลาดสดเป็นชีวมวลประสิทธิภาพสูง
1.5 พัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบ โดยทบทวนแนวทางการสร้างเครือข่ายกระบวนการมีส่วนร่วมในการคุ้มครองผู้ใช้พลังงานและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านกฎหมาย ด้านหลักธรรมมาภิบาล ด้านพลังงาน ด้านการเจรจาต่อรอง และด้านการมีส่วนร่วม
2. ผลการดำเนินงานกองทุนพัฒนาไฟฟ้าประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 25632.1 ชดเชยและอุดหนุนผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้า ซึ่งให้บริการแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ด้อยโอกาสหรือเพื่อให้บริการไฟฟ้าอย่างทั่วถึงโดยชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า              (เก็บเงินจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการไฟฟ้านครหลวงเพื่อชดเชยรายได้ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) รวม 16,917 ล้านบาท และอุดหนุนค่าไฟฟ้าฟรีสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่มีมิเตอร์ไม่เกิน 5 แอมแปร์ และใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน จำนวน 2,079 ล้านบาท
2.2 จัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาท้องถิ่นรอบโรงไฟฟ้าในด้านสาธารณสุข การศึกษา และการพัฒนาอาชีพ รวม 4,040 ล้านบาท
2.3 ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีในการประกอบกิจการไฟฟ้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเปิดรับข้อเสนอโครงการและอนุมัติ 13 โครงการ วงเงิน 137.67 ล้านบาท โดยมีโครงการที่สำคัญ เช่น โครงการต้นแบบระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียนที่ยั่งยืนสำหรับอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าของประเทศไทย โครงการนำร่องพัฒนา Use Case การใช้ประโยชน์จากข้อมูลด้านไฟฟ้าในการวิเคราะห์    เชิงนโยบายและการกำกับดูแลกิจการพลังงาน
2.4 ส่งเสริมสังคมและประชาชนให้มีความรู้ ความตระหนักและมีส่วนร่วมทางด้านไฟฟ้า รวม 476.47 ล้านบาท เช่น โครงการสนับสนุนภารกิจตามนโยบายส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและโครงการคิด (KIDS) เพื่อพลังงานแห่งอนาคต
3. งบการเงินของสำนักงาน กกพ. และกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ณ วันที่ 30 กันยายน 25633.1 งบแสดงฐานะการเงิน ประกอบด้วย สินทรัพย์รวม 25,320.53  ล้านบาท หนี้สินรวม 3,910.48 ล้านบาท ส่งผลให้รวมสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน 21,410.05 ล้านบาท
3.2 งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ประกอบด้วย รายได้จากการดำเนินงาน 20,559.52 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน  20,663.01  ล้านบาท ส่งผลให้รายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ 70.49 ล้านบาท

 
                   2. แผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
                             2.1 สำนักงาน กกพ. มีแผนการดำเนินงานมุ่งเน้นพัฒนากลไกการกำกับอัตราค่าไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ พัฒนากฎระเบียบในการกำกับกิจการไฟฟ้าและกิจการก๊าชธรรมชาติรองรับนโยบายการส่งเสริมการแข่งขันและรองรับธุรกิจพลังงาน เช่น การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและการใช้ระบบการกักเก็บพลังงาน รวมทั้งมีการพัฒนาระบบการตรวจติดตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานคุณภาพการให้บริการอย่างต่อเนื่อง การสร้างกลไก การมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนางานกำกับกิจการพลังงาน และการบริหารกองทุนพัฒนาไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตลอดจนการพัฒนาองค์กรไปสู่องค์กรดิจิทัล
                             2.2 กองทุนพัฒนาไฟฟ้า มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาไฟฟ้าและการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานกองทุนพัฒนาไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยนำผลสำเร็จของการจัดประกวดกองทุนพัฒนาไฟฟ้าและโครงการในพื้นที่ประกาศ รวมทั้งโครงการชุมชนต้นแบบ มาปรับปรุงการบริหารจัดการและการดำเนินโครงการของกองทุนพัฒนาไฟฟ้า รวมถึงปรับปรุงระเบียบ คู่มือและหลักเกณฑ์เพื่อให้การจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้าสอดคล้องกับวัตถุประสงค์มากขึ้น นอกจากนี้ มุ่งเน้นพัฒนาระบบสารสนเทศและดิจิทัลเพื่อรองรับการดำเนินงานตามภารกิจของกองทุนพัฒนาไฟฟ้าและการประชาสัมพันธ์เชิงรุก              ในแต่ละพื้นที่เพื่อสร้างการรับรู้และเผยแพร่ประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาไฟฟ้า เพื่อเพิ่มระดับการรับรู้และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาไฟฟ้า รวมทั้ง การขับเคลื่อนให้เกิดการสร้างทัศนคติที่ดีในการอยู่ร่วมกันระหว่างโรงไฟฟ้าและชุมชนรอบโรงไฟฟ้า
_____________________
*เดิมมีเพียง 1 ราย คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และให้ใบอนุญาตเพิ่มเติมอีก 4 ราย ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด และ บริษัท บี.กริม แอลเอ็นจี จำกัด
 
11. เรื่อง รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2564 สภาองค์กรของผู้บริโภค
                    คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) เสนอรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2564
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                    สอบ. รายงานว่า ได้จัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2564 ของ สอบ. โดยมีผลดำเนินงานบรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนงาน สรุปได้ ดังนี้
                    1. ผลงานเด่นในปี 2564 รวม 5 เรื่อง สรุปได้ ดังนี้
                             1.1 การมีข้อเสนอด้านนโยบายที่มีผลกระทบต่อการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคทำให้คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทบทวนนโยบายและมาตรการผ่านการขับเคลื่อนที่เป็นวาระเร่งด่วน 3 ประเด็น คือ (1) ผลกระทบต่อผู้บริโภคหากเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership: CPTPP) ได้ยื่นข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อขอชะลอการส่งหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วม CPTPP ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ประสาน สอบ. พร้อมทั้งสื่อสารให้องค์กรเครือข่ายมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ CPTPP เพื่อหารือก่อนที่จะตัดสินใจเข้าร่วม CPTPP ทั้งนี้ ปัจจุบันยังไม่ได้มีการตัดสินใจเข้าร่วม CPTPP (2) ขนส่งมวลชนที่ทุกคนขึ้นได้อย่างมีคุณภาพและได้มาตรฐาน กรณีการยกเลิกโปรโมชั่นตั๋วเดือน โดยได้เรียกร้องให้บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสนำกลับมาใช้ และได้จัดทำข้อเสนอแนะแก้ไขปัญหาบริการและค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องชะลอการต่ออายุสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว และ (3) ค่ารักษาพยาบาลแพงของบริการสาธารณสุขเอกชน โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ร่วมมือกับชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตนเรียกร้องให้สำนักงานประกันสังคมออกมาตรการดูแลผู้ประกันตนที่ติดโรคโควิด-19 ให้ชัดเจน โดยเฉพาะการเข้ารักษาในโรงพยาบาลคู่สัญญาประกันสังคมที่ส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลเอกชน และการเข้าระบบการดูแลที่บ้าน (Home lsolation) ซึ่งส่งผลให้สำนักงานประกันสังคมปรับเปลี่ยนแนวทางการดูแลผู้ประกันตนที่ป่วยให้ชัดเจนเพิ่มมากขึ้น
                             1.2 การก่อกำเนิดและขับเคลื่อน สอบ. ให้เป็นไปตามกฎหมายโดยการดำเนินการ เช่น (1) จัดทำข้อบังคับของ สอบ. (2) เลือกตั้งประธานและคณะกรรมการนโยบายของ สอบ. โดยมีองค์ประกอบ 8 ด้าน*                      (3) กำหนดนโยบาย แนวทาง หรือแผนงาน เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (4) จัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และภารกิจ และ (5) เป็นตัวแทนผู้บริโภคดำเนินการในด้านต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองผู้บริโภคในทุกด้านด้วยความสุจริต เช่น 1) ให้ความคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค 2) เสนอแนะนโยบายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคต่อคณะรัฐมนตรีหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง และ        3) สนับสนุนและดำเนินการ ตรวจสอบ ติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์ปัญหาสินค้าและบริการ แจ้งหรือโฆษณาข่าวสารหรือเตือนภัยเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่อาจกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภคหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือเกิดความเสื่อมเสียแก่ผู้บริโภค
                             1.3 การสนับสนุนให้เกิดหน่วยงานประจำจังหวัด ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของ สอบ. ที่กระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ และเป็นตัวแทนของผู้บริโภคในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้สามารถดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วเท่าทันสถานการณ์และทันความต้องการ ปัจจุบันมีหน่วยงานประจำจังหวัด 12 แห่ง ดำเนินงานช่วยเหลือผู้บริโภคใน 8 ประเด็น ได้รับเรื่องร้องเรียนและช่วยเหลือผู้บริโภค 712 ราย สามารถแก้ไขปัญหาให้ผู้บริโภคได้ประมาณร้อยละ 80 รวมทั้งพัฒนาองค์กรผู้บริโภคที่อยู่ในพื้นที่ของแต่ละจังหวัดให้มีความสามารถในการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคให้กับสมาชิกในกลุ่ม มีการสื่อสารเตือนภัยผู้บริโภคผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียที่หลากหลาย และจัดการประชุมสภาผู้บริโภคระดับจังหวัดอย่างน้อย 7 จังหวัด
                             1.4 การคุ้มครองผู้บริโภคและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคจากวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 โดยบูรณาการความรู้ เทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายให้เกิดปฏิบัติการที่ตอบสนองต่อปัญหาอย่างเท่าทันสถานการณ์และความต้องการของผู้บริโภคตั้งแต่ขั้นตอนของการเฝ้าระวังปัญหา การคุ้มครองพิทักษ์สิทธิ และการพัฒนานโยบาย มีผลงานที่สร้างผลกระทบสูงในปี 2564 เช่น (1) ร่วมกับเครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ทดสอบและวิเคราะห์คุณภาพหน้ากากอนามัย 60 ยี่ห้อ โดยผลักดันจนเป็นสินค้าที่มีมาตรฐานบังคับ (2) การเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ยาฟ้าทะลายโจรร่วมกับเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค 12 จังหวัด 7 ภูมิภาค และ (3) เป็นตัวแทนผู้บริโภคดำเนินการร้องเรียนเรื่องการยกเลิกประกันโควิดโดยไม่เป็นธรรมมากกว่า 1,000 ราย จนได้รับเงินประกันตามสิทธิ
                             1.5 การจัดตั้งศูนย์บริการผู้บริโภคแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งเป็นกลไกนวัตกรรมงานคุ้มครองผู้บริโภคที่ช่วยลดภาระให้กับผู้บริโภคจากการเสียเวลาค้นหา เดินทาง หรือติดตามเรื่องร้องเรียนหรือร้องทุกข์กับหน่วยงานหลายแห่ง โดยมีวิธีดำเนินการต่อข้อร้องเรียน 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ (1) ขั้นเจรจาประสานงานกับผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (2) ขั้นไกล่เกลี่ย และ (3) ขั้นฟ้องคดี มีเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค 1,371 กรณี สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของเรื่องทั้งหมด
                    2. ผลการดำเนินงานตาม 5 ยุทธศาสตร์ สรุปได้ ดังนี้
                             2.1 การสนับสนุนและดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภคและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคทุกด้าน เช่น (1) โครงการสนับสนุนการจัดการความรู้จากการเฝ้าระวังและแพร่ข้อมูลให้ผู้บริโภค เพื่อป้องกันปัญหาในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (2) โครงการอบรมนักไกล่เกลี่ยของ สอบ. และหน่วยประจำจังหวัดเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค (3) จัดทำระเบียบว่าด้วยการดำเนินคดีของ สอบ. และ (4) จัดตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาการดำเนินคดีของ สอบ.
                             2.2 การพัฒนา เสนอแนะ และผลักดันนโยบายและมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น (1) สนับสนุนการศึกษาวิจัยเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค (2) โครงการศึกษาปัญหาการคุ้มครองผู้บริโภคและการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค และ (3) โครงการติดตามข้อเสนอแนะการคุ้มครองผู้บริโภคของประชาชน
                             2.3 การสนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งผู้บริโภคและองค์กรของผู้บริโภค เช่น (1) โครงการสนับสนุนเขตพื้นที่เพื่อจัดตั้งองค์กรผู้บริโภคในจังหวัดสำคัญ 10 จังหวัด (2) พัฒนาศักยภาพผู้นำองค์กรผู้บริโภคและผู้นำเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคในการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค และ (3) โครงการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อการคุ้มครองผู้บริโภคเฉพาะประเด็นระดับภูมิภาค และประจำปี
                             2.4 การสื่อสารเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค โดยประชาสัมพันธ์องค์กรให้สาธารณชนรู้จัก มีการเตือนภัยเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่อาจกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภคเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคและขับเคลื่อนประเด็นสู่สาธารณะให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้บริโภคภายใต้แผนงานสื่อสารเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ผ่านการดำเนินการการสื่อสารผ่านช่องทางการสื่อสารสมัยใหม่ที่ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเข้าถึงสาธารณชนได้จำนวนมากและเผยแพร่ได้อย่างรวดเร็วโดยสื่อสารในรูปแบบข่าว บทความ สกู๊ป อินโฟกราฟิก วิดีโอคลิป การแถลงข่าว และการถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊ก (Facebook Live) โดยมีการทำข่าวเพื่อเผยแพร่ 44 ชิ้น มีการทำอินโฟกราฟิกเพื่อเผยแพร่ 188 ชิ้น และมีการแถลงข่าวและถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊ก 16 ชิ้น
                             2.5 พัฒนากลไกของ สอบ. และหน่วยงานประจำจังหวัด โดยขับเคลื่อนผ่าน 2 แผนงาน ได้แก่ (1) แผนการจัดตั้งสำนักงานและพัฒนากำลังคนของ สอบ. มีการดำเนินการ เช่น จัดตั้งสำนักงานแบบใช้ร่วมกัน (co-working space) ณ ชั้น 30 อาคารจีทาวเวอร์ แกรนด์ พระราม 9 จัดหาเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเต็มเวลา 38 คน และจัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการทำงานรวมทั้งพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่สำนักงานโดยร่วมมือกับสถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ (Thai Health Academy) พัฒนาหลักสูตรและอบรมพัฒนาศักยภาพให้กับผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับทุกระดับ และ (2) แผนเงินสำรองกรณีฉุกเฉิน เช่น คณะกรรมการนโยบาย สอบ. มีมติเห็นชอบให้ใช้ทุนประเดิมงบประมาณไม่เกิน 50 ล้านบาท ในการจัดซื้อที่ดินพร้อมอาคารสำนักงาน 6 ชั้น เพื่อให้เป็นสำนักงานถาวรของ สอบ.
                    3. ปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญ ได้แก่ (1) การจัดสรรงบประมาณที่ล่าช้าทำให้ สอบ. มีเวลาทำงานเพียง 3 เดือนจากแผนงานและแผนงบประมาณที่วางไว้ 8 เดือน จึงส่งผลที่ทำให้การดำเนินงานของทุกฝ่ายต้องเร่งดำเนินการ (2) ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นอุปสรรคสำคัญในการดำเนินงานส่งผลให้ต้องปรับรูปแบบการทำงานโดยใช้ช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดความไม่คล่องตัวในการทำงานร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย                   (3) การบริหารจัดการองค์กรรูปแบบใหม่ที่เป็นหน่วยงานนิติบุคคลและได้รับงบประมาณอุดหนุนจากหน่วยงานภาครัฐ ทำให้ต้องศึกษาระเบียบและประกาศที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก และ (4) การได้รับการวินิจฉัยสถานะองค์กรว่าเป็นหน่วยงานของรัฐจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการซึ่งส่งผลต่อความเป็นอิสระในการดำเนินงานขององค์กร ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค                 พ.ศ. 2562
_____________________
* ประกอบด้วย (1) ด้านการเงินและการธนาคาร (2) ด้านการขนส่งและยานพาหนะ (3) ด้านอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย (4) ด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ (5) ด้านบริการสุขภาพ (6) ด้านสินค้าและบริการทั่วไป (7) ด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม และ (8) ด้านบริการสาธารณะ
 
12. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนพฤษภาคม และ 5 เดือนแรกของปี 2565
                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนพฤษภาคม และ 5 เดือนแรกของ  ปี 2565 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
                   สาระสำคัญ
                   1. สรุปสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนพฤษภาคม และ 5 เดือนแรกของปี 2565
การส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม 2565 มีมูลค่า 25,509.0 ล้านเหรียญสหรัฐ (854,372                  ล้านบาท) ขยายตัวร้อยละ 10.5 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 11.1                      การส่งออกยังเป็นเครื่องจักรกลสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนถึงบทบาทการเป็น “ครัวโลก” ในช่วงเวลาที่ทั่วโลกมีความต้องการสินค้าอาหารเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเติบโตตามภาคการผลิตโลกที่ยังขยายตัวดี สอดคล้องกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลก (Global Manufacturing PMI) ที่อยู่เหนือระดับ 50 สะท้อนอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าที่ยังขยายตัว  แม้จะได้รับผลกระทบความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ปัญหาเงินเฟ้อ และการล็อกดาวน์บางเมืองเศรษฐกิจของจีน
                             มูลค่าการค้ารวม
          มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนพฤษภาคม 2565 การส่งออก มีมูลค่า 25,509.0 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 10.5 การนำเข้า มีมูลค่า 27,383.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 24.2 ดุลการค้าขาดดุล 1,874.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ 5 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม-พฤษภาคม)                           การส่งออก มีมูลค่า 122,631.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 12.9 การนำเข้า มีมูลค่า 127,358.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 20.2 ดุลการค้าขาดดุล 4,726.6 ล้านเหรียญสหรัฐ
          มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนพฤษภาคม 2565 การส่งออก มีมูลค่า 854,372                  ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 19.3 การนำเข้า มีมูลค่า 928,890 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 34.0 ดุลการค้าขาดดุล 74,518 ล้านบาท ขณะที่ 5 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม-พฤษภาคม) การส่งออก มีมูลค่า 4,037,962 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 23.2 การนำเข้า มีมูลค่า 4,251,796 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 31.1 ดุลการค้าขาดดุล 213,834 ล้านบาท
          การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
          มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 25.8 ขยายตัวต่อเนื่อง 18 เดือน สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัวร้อยละ 27.6 (ขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย ไต้หวัน อินโดนีเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขยายตัวร้อยละ 81.4 (ขยายตัวในตลาดจีน อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ มาเลเซีย และสหรัฐฯ) ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 3.9 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ตุรกี ฝรั่งเศส และสเปน) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 32.5 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อียิปต์ และลิเบีย) น้ำตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 171.2 (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และลาว) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 25.5  (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อิตาลี มาเลเซีย และออสเตรเลีย) ข้าว ขยายตัวร้อยละ 24.7 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ แอฟริกาใต้ แคเมอรูน จีน และเยเมน) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง หดตัวร้อยละ 2.8 (หดตัวในตลาดจีน เกาหลีใต้ และลาว) สิ่งปรุงรสอาหาร หดตัวร้อยละ 2.4 (หดตัวในตลาดฟิลิปปินส์ สหราชอาณาจักร และเยอรมนี) 5 เดือนแรกของปี 2565 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 15.5
                   การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
                   มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 4.2  ขยายตัวต่อเนื่อง 15 เดือน โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัวดี ได้แก่ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ขยายตัวร้อยละ 23.3 (ขยายตัวในตลาดเวียดนาม สิงคโปร์ กัมพูชา มาเลเซีย และอินเดีย) ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวร้อยละ 10.0 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และฝรั่งเศส) แผงวงจรไฟฟ้าขยายตัวร้อยละ 6.4 (ขยายตัวในตลาดสิงคโปร์ สหรัฐฯ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 24.2 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย อินเดีย และสิงคโปร์) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 69.3 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ อินเดีย ฮ่องกง เยอรมนี และกาตาร์) เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ ขยายตัวร้อยละ 27.9 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินเดีย และฟิลิปปินส์) เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 141.3 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ ฮ่องกง จีน และไต้หวัน) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 3.1 (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย เวียดนาม ญี่ปุ่น) เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ หดตัวร้อยละ 20.8 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เม็กซิโก และเยอรมนี) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 3.0 (หดตัวในตลาดเวียดนาม ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย) 5 เดือนแรกของปี 2565 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 11.3
                             ตลาดส่งออกสำคัญ
                             การส่งออกไปยังตลาดสำคัญส่วนใหญ่ปรับดีขึ้น สะท้อนถึงอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าที่ยังขยายตัวได้ แม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งของรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ และการใช้มาตรการควบคุมไวรัสโควิด-19 ที่เข้มงวดในจีน ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่างๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 12.3 โดยขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ร้อยละ 29.2 อาเซียน (5) ร้อยละ 8.3 CLMV ร้อยละ 13.1 ขณะที่ตลาด จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป (27) กลับมาขยายตัวร้อยละ 3.8 ร้อยละ 6.2 ร้อยละ 12.8 ตามลำดับ                (2) ตลาดรอง ขยายตัวร้อยละ 8.9 ขยายตัวในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 55.7 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 37.9 ทวีปแอฟริกา ร้อยละ 10.2 และลาตินอเมริกา ร้อยละ 22.5 ขณะที่ทวีปออสเตรเลีย และรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS หดตัวร้อยละ 11.9 และ 56.9 ตามลำดับ และ (3) ตลาดอื่น ๆ หดตัวร้อยละ 59.1 อาทิ สวิตเซอร์แลนด์ หดตัวร้อยละ 70.0
                       2. ปัจจัยสนับสนุนและมาตรการส่งเสริมการส่งออก
                       การส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการเชิงรุกเพื่อผลักดันและอำนวยความสะดวกการส่งออกของผู้ประกอบการไทย โดยการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การบริหารจัดการส่งออกผลไม้ โดยกระจายการขนส่งผลไม้ไปจีนทางเรือและทางอากาศมากขึ้น การจัดการ THAIFEX-ANUGA ASIA 2022 ถือเป็นงานแสดงและจำหน่ายสินค้าอาหารระดับโลก โดยในปีนี้เน้นอาหารที่ตอบโจทย์การบริโภคในยุคปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ผลักดันให้ใช้แนวคิด BGC Model มาพัฒนาอาหารส่งออก และนำหลักการ Soft Power มาช่วยประชาสัมพันธ์และสร้างความต้องการบริโภคอาหารไทยให้กับผู้คนทั่วโลก การสร้างโอกาสทางการค้าผ่านกรอบความร่วมมือเอเปก (APEC) กระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปก (Ministers Responsible for Trade Meeting: MRT) โดยการประชุมเป็นไปตามเป้าหมายในการผลักดันความร่วมมือทางการค้าที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ได้แก่ การผลักดันการจัดทำ FTAAP (Free Trade Area of the Asia-Pacific) หากสำเร็จจะเป็น FTA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก การสนับสนุนการ BCG Model ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกลุ่มเอเปก การอำนวยความสะดวกในการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตด้วยระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น
                       แนวโน้มการส่งออกระยะถัดไป กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า การส่งออกของไทยยังขยายตัวได้ดี และเชื่อมั่นว่า ตัวเลขการส่งออกในไตรมาสที่ 2 จะขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยบวกจากสถานการณ์           โควิด-19 ที่ทรงตัว ความต้องการอาหารจากทั่วโลกที่สูงขึ้น พร้อมปัจจัยหนุนด้านราคาสินค้าเกษตร ขณะเดียวกัน ภาคบริการท่องเที่ยวของหลายประเทศเริ่มฟื้นตัว และการมีปริมาณเรือขนส่งและตู้คอนเทนเนอร์ใหม่ ล้วนส่งผลดีต่อการส่งออกของไทย อย่างไรก็ตาม การส่งออกอาจได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่เผชิญความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อที่เป็นผลสืบเนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้กำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัวลง
 
13. เรื่อง โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอดังนี้
                   1. โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ (โครงการฯ) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อสนับสนุนงบประมาณให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 16 ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบเงินอุดหนุนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.)
                   2. ให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) มีอำนาจอนุมัติโครงการ แผนงาน และกิจกรรมภายใต้กรอบงบประมาณงบเงินอุดหนุน รายการโครงการฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และสามารถจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านแต่ละประเทศ เพื่อให้มีการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ตามที่ได้รับจัดสรร
                   สาระสำคัญของโครงการฯ สรุปได้ ดังนี้
                   1. วัตถุประสงค์ ระยะเวลาดำเนินการ กลไกประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน และแนวทาง  ต่าง ๆ มีรายละเอียด ดังนี้

ประเด็นสาระสำคัญ
วัตถุประสงค์(1) เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการสกัดกั้น ปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
(2) เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดภายใต้แผนปฏิบัติการร่วมฯ ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
(3) เพื่อพัฒนาบุคลากรและระบบการปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
(4) เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศในการร่วมกันควบคุมปัญหายาเสพติดในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
ระยะเวลาดำเนินการเดือนมิถุนายน - ธันวาคม 2565
กลไกประสานงาน
กับประเทศเพื่อนบ้าน
เมียนมาคณะกรรมการกลางเพื่อควบคุมยาเสพติด
(Central Committee for Drug Abuse Control: CCDAC)
กัมพูชาคณะกรรมการต่อต้านยาเสพติดแห่งชาติ
(National Authority for Combating Drugs: NACD)
สปป.ลาวคณะกรรมาธิการควบคุมและตรวจตรายาเสพติดแห่งชาติลาว
(Lao Commission on Drug Control and Supervision: LCDC)
เวียดนามกรมตำรวจต่อสู้ยาเสพติด กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ
(Counter Narcotics Police Department: CND)
แนวทาง
การสนับสนุน
(1) ประสานหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านให้แจ้งรายการความต้องการขอรับการสนับสนุน
(2) วิเคราะห์จัดสรรงบประมาณสนับสนุนของแต่ละประเทศ โดยคำนึงถึงแนวนโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์การดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ส. สถานการณ์ปัญหายาเสพติดที่ส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดของไทยอย่างมีนัยสำคัญ และเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วนของความต้องการรับการสนับสนุน
(3) แจ้งผลการพิจารณาการสนับสนุนตามโครงการแก่หน่วยงานกลางด้านยาเสพติดแต่ละประเทศ
(4) ส่งมอบงบประมาณ แจ้งการส่งมอบและเงื่อนไขการใช้จ่ายงบประมาณกับหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของแต่ละประเทศ
(5) หน่วยงานกลางด้านยาเสพติดแต่ละประเทศเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อ หรือใช้จ่ายงบประมาณตามเงื่อนไขและรายการที่เห็นชอบร่วมกัน อาทิ ด้านวัสดุ อุปกรณ์ และยานพาหนะ เพื่อความสะดวกในการรับบริการหลังการขาย การซ่อมบำรุงและลดภาระค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
(6) สำนักงาน ป.ป.ส. กำกับติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณ
แนวทาง
การกำกับติดตาม
(1) ประสานติดตามความคืบหน้าในการดำเนินโครงการฯ ผ่านทางอัครราชทูตที่ปรึกษาด้านควบคุมยาเสพติดประจำประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับติดตามการดำเนินงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์โครงการฯ
(2) ให้หน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านจัดทำสรุปรายงานผลการดำเนินงาน และนำส่งให้กับสำนักงาน ป.ป.ส. ไว้เป็นหลักฐานอ้างอิง

                   2. แผนงานสนับสนุนงบประมาณและการจัดสรรงบประมาณ
                             แผนงานสนับสนุนงบประมาณภายใต้โครงการฯ ประกอบด้วย (1) แผนงานหมวด 1 :              การปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (2) แผนงานหมวด 2 : การสกัดกั้นยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (3) แผนงานหมวด 3 : การพัฒนาการเสริมสร้างศักยภาพ และ (4) แผนงานหมวด 4 : การบริหารการจัดการศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย โดยมีการจัดสรรงบประมาณของสำนักงาน ป.ป.ส. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบเงินอุดหนุนรายการโครงการฯ จำนวน                   16 ล้านบาท ให้กับแผนงานของแต่ละประเทศ ดังนี้

ประเทศงบประมาณ
(ล้านบาท)
รายละเอียดแผนงาน
1. เมียนมา5.10แผนงาน
หมวด 3
(1) เครื่องตรวจสารเคมี จำนวน 1 เครื่อง
(2) รถยนต์ 4x4 Double Cab จำนวน 1 คัน
(3) รถยนต์โดยสาร ขนาด 3,500 ซีซี จำนวน 1 คัน
2. สปป.ลาว6.15แผนงาน
หมวด 1
ค่าเบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่ ค่าเบี้ยเลี้ยงสุนัข K9 และน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชุดปฏิบัติการประจำ 3 แขวง ได้แก่ แขวงบ่อแก้ว แขวงหลวงน้ำทา และแขวงอุดมไซ และสำหรับชุดปฏิบัติการกรุงเวียงจันทน์
แผนงาน
หมวด 3
(1) รถยนต์ 4x4 Double Cab จำนวน 2 คัน
(2) รถจักรยานยนต์ขนาด 100 ซีซี จำนวน 2 คัน
(3) รถจักรยานยนต์ขนาด 110 ซีซี จำนวน 3 คัน
(4) อากาศยานไร้คนขับ จำนวน 2 เครื่อง
(5) เครื่องตรวจจับพิกัดภูมิศาสตร์ จำนวน 30 เครื่อง
(6) กล้องวงจรปิด จำนวน 3 ตัว
แผนงาน
หมวด 4
ค่าใช้จ่ายในการบริหารศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย
3. กัมพูชา2.15แผนงาน
หมวด 1
ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าเช่าเรือลาดตระเวน และค่าเบี้ยเลี้ยงสำหรับชุดปฏิบัติการใน 8 จังหวัด ได้แก่ สตึงเตรง พระวิหาร อุดรมีชัย บันทายมีชัย พระตะบอง ไพลิน โพธิสัตว์ และเกาะกง
แผนงาน
หมวด 3
(1) ชุดตรวจสารเคมีสำหรับชุดตรวจและหน่วยงานกลาง NACD
(2) ค่าบริการซ่อมบำรุงเครื่องตรวจพิสูจน์ จำนวน 4 เครื่อง
(3) อุปกรณ์ตรวจปัสสาวะ จำนวน 160 ชุด
(4) ชุดตรวจสอบสารเสพติด จำนวน 160 ชุด
แผนงาน
หมวด 4
ค่าใช้จ่ายในการบริหารศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย
4. เวียดนาม2.60แผนงาน
หมวด 1
(1) ค่าเบี้ยเลี้ยงสำหรับเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการตามแนวชายแดนเวียดนาม - สปป. ลาว และชายแดนเวียดนาม - กัมพูชา
(2) ค่าตอบแทนแหล่งข่าว 120 แหล่งข่าว
แผนงาน
หมวด 2
ค่าเบี้ยเลี้ยงสำหรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการตั้งด่านตรวจจังหวัด Hoa Binh และตามเส้นทางลำเลียงยาเสพติดสำคัญ
แผนงาน
หมวด 3
รถจักรยานยนต์ขนาด 125 ซีซี จำนวน 10 คัน
แผนงาน
หมวด 4
ค่าใช้จ่ายในการบริหารศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย
รวมทั้งสิ้น16 

                   สำนักงาน ป.ป.ส. ได้รับการพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบเงินอุดหนุน รายการโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น 16 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว และได้ดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านทั้งสี่ประเทศ ผ่านทางอัครราชทูตที่ปรึกษาด้านควบคุมยาเสพติดและผ่านทางการประชุมระหว่างประเทศระดับทวิภาคี เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์รายการที่จำเป็นต้องให้การสนับสนุน โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับนโยบายที่ไทยประสงค์จะผลักดันและประโยชน์ที่ไทยจะได้รับ ซึ่งเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการดังกล่าวแล้ว สำนักงาน ป.ป.ส. จะส่งมอบงบประมาณให้กับหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของทั้งสี่ประเทศ และกำกับติดตามการดำเนินงานให้เป็นคคำนึงถึงความสออดทานงานนกลาง ร อุดรมีชัย บันทายมีชัย พระตะบอง ไพลิน ไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดสรรงบประมาณต่อไป
 
 
14. เรื่อง การปรับอัตราเงินอุดหนุนรายหัวตามความจำเป็นพื้นฐาน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้เรียนและเพิ่มศักยภาพสถานศึกษาในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการปรับอัตราเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวสำหรับผู้เรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเป็นการทยอยปรับเพิ่มขึ้นในลักษณะขั้นบันไดต่อเนื่อง 4 ปี (พ.ศ. 2566 – พ.ศ. 2569) ทั้งนี้ อัตราเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวฯ ที่เสนอในปีที่ 4 (พ.ศ. 2569) เป็นอัตราที่ควรจะเป็นตามผลการศึกษาของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งครอบคลุมการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย (สายสามัญ/อาชีวศึกษา ระดับ ปวช.) ของสถานศึกษารัฐและเอกชน และการจัดการศึกษาโดยครอบครัวและสถานประกอบการตามมาตรา 12 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง          4 ปี ดังกล่าว เห็นสมควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับเป้าหมายจำนวนผู้เรียนจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป โดยให้คำนึงถึงความคุ้มค่า ประสิทธิภาพ และผลสัมฤทธิ์เป็นสำคัญ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
                    กรอบวงเงินงบประมาณตามอัตราที่เสนอขอปรับอัตราเงินอุดหนุนฯ ในลักษณะงบประมาณผูกพันต่อเนื่อง 4 ปี (พ.ศ. 2566 - 2569) มีรายละเอียดงบประมาณในแต่ละปี ดังนี้

ปีงบประมาณงบประมาณ (บาท)งบประมาณที่เพิ่มขึ้น
จากปีก่อนหน้า (บาท)
ปัจจุบัน (พ.ศ. 2565)46,482,393,398-
ปีที่ 1 (พ.ศ. 2566)48,741,622,8782,259,229,480
ปีที่ 2 (พ.ศ. 2567)50,399,124,4131,657,501,535
ปีที่ 3 (พ.ศ. 2568)52,612,284,4352,213,160,022
ปีที่ 4 (พ.ศ. 2569)54,548,868,7591,936,584,324

                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   เรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอมานี้เป็นการขอปรับอัตราเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวสำหรับผู้เรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน (อัตราเงินอุดหนุนฯ) ในลักษณะงบประมาณผูกพันต่อเนื่อง 4 ปี ครอบคลุมการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย หรือระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ของสถานศึกษารัฐและเอกชน การจัดการศึกษาโดยครอบครัว และสถานประกอบการ (ตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 โดยมีแนวทางการปรับอัตราเงินอุดหนุนฯ              สรุปได้ ดังนี้

ประเด็นค่าจัดการเรียน
การสอน
ค่าอุปกรณ์
การเรียน
ค่าเครื่องแบบค่ากิจกรรม
พัฒนาคุณภาพผู้เรียน
การศึกษาในระบบ
  • การจัดการศึกษาทั่วไป (สถานศึกษารัฐและเอกชน) การจัดการศึกษาโดยครอบครัว และการจัดการศึกษาโดยสถานประกอบการ
ข้อเสนอปรับเพิ่ม
(อัตราที่ขอปรับเพิ่มเป็นอัตราเฉลี่ยจากทุกระดับการศึกษา)
ปีที่ 1 ร้อยละ 2
ปีที่ 2 ร้อยละ 8
ปีที่ 3 ร้อยละ 16
ปีที่ 4 ร้อยละ 20
(จากอัตราปัจจุบัน)
ปีที่ 1 ร้อยละ 17
(ปรับตามส่วนต่างที่เกิดขึ้นจริงเมื่อเทียบกับอัตราปัจจุบัน)
ปีที่ 2 - ปีที่ 4
คงอัตราที่ปรับในปีที่ 1
ปีที่ 1 อุดหนุนครบ 1 ชุด (ร้อยละ 7 ) สำหรับทุกคนและอุดหนุนเพิ่มเติม 1 ชุด เฉพาะผู้เรียนยากจน
ปีที่ 2 - ปีที่ 4
คงอัตราที่ปรับในปีที่ 1
ปีที่ 1 ร้อยละ 2
ปีที่ 2 ร้อยละ 8
ปีที่ 3 ร้อยละ 14
ปีที่ 4 ร้อยละ 30
(จากอัตราปัจจุบัน)
การศึกษานอกระบบ
ข้อเสนอปรับเพิ่มปรับเป็นอัตราเดียวกันกับการศึกษาในระบบสำหรับผู้เรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานนอกระบบทุกคนปรับเป็นอัตราเดียวกันกับการศึกษาในระบบเฉพาะผู้เรียนที่อายุต่ำกว่า 15 ปีปรับเป็นอัตราเดียวกันกับการศึกษาในระบบเฉพาะผู้เรียนที่อายุต่ำกว่า 15 ปีปรับเป็นอัตราเดียวกันกับการศึกษาในระบบสำหรับผู้เรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานนอกระบบทุกคน

หมายเหตุ        1. ค่าหนังสือเรียนมีการปรับเพิ่มอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ได้เสนอขอปรับอัตราเงินอุดหนุนฯ
                   2. ผู้เรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานนอกระบบยังไม่เคยได้รับเงินอุดหนุนค่าอุปกรณ์การเรียนและ                   ค่าเครื่องแบบ
ทั้งนี้ การขอปรับอัตราเงินอุดหนุนฯ ในครั้งนี้ ศธ. (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา) ได้ใช้ข้อมูลจำนวนผู้เรียนในปัจจุบันและข้อมูลผู้เรียนยากจน (ข้อมูลในปี พ.ศ. 2564 พบว่า คิดเป็นร้อยละ 18 ของผู้เรียนทั้งหมด) ในการนำมาประมาณการแนวโน้มจำนวนผู้เรียนในระยะ 4 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2566 - 2569) โดยได้พิจารณาถึงอัตราการเปลี่ยนแปลงของจำนวนผู้เรียนการศึกษาในระบบและนอกระบบ (ข้อมูลในปี พ.ศ. 2560 - 2563 การศึกษา             ในระบบ พบว่า จำนวนผู้เรียนลดลงประมาณร้อยละ 0.8 ต่อปี และข้อมูลในปี พ.ศ. 2561 - 2565 การศึกษานอกระบบ พบว่าผู้เรียนลดลงประมาณร้อยละ 8.7 ต่อปี) ด้วย เพื่อประมาณการงบประมาณตามอัตราเงินอุดหนุนฯ               ที่จะเสนอขอปรับเพิ่มในปีที่ 1 - ปีที่ 4
                   การขอปรับอัตราเงินอุดหนุนฯ ในครั้งนี้ เป็นการปรับอัตราให้สอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้เรียน/ผู้ปกครอง สถานศึกษาสามารถพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น ผู้เรียนทุกคนเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ลดอุปสรรคสำคัญในการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อของผู้เรียนโดยเฉพาะผู้เรียนยากจน ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานและการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพต่อไปในอนาคต
 
15. เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการลงทุนรายการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่
                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอดำเนินโครงการลงทุนรายการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ (โครงการฯ) ในกรอบวงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 10,974.65                  ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินโครงการ พ.ศ. 2566 – 2570 และวงเงินเบิกจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 1,109.07 ล้านบาท
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   ทส. รายงานว่า
                   1. องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (อสส.) ทส. ได้รับพระราชทานที่ดิน จำนวน 300 ไร่ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 เพื่อพัฒนาให้เป็นสถานที่ก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ และสถานที่ทำงานของ อสส. ซึ่ง อสส. ได้รับงบประมาณรายจายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และ พ.ศ. 2564 ในวงเงินงบประมาณ 150 ล้านบาท สำหรับค่าออกแบบสิ่งก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ โดยได้มีการว่าจ้างออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างและศึกษาความเป็นไปได้โครงการฯ ในวงเงิน 146.83 ล้านบาท จนแล้วเสร็จสมบูรณ์ พร้อมทั้งจ้างที่ปรึกษาในการบริหารโครงการฯ ระยะที่ 2 ในวงเงิน 21.30 ล้านบาท
                   2. คณะกรรมการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (นายชวลิต ชูขจร เป็นประธาน) ในคราวประชุมครั้งที่ 15/2564 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณโครงการฯ จำนวน 10,974.65 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินงาน พ.ศ. 2566 - 2570 โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้

ระยะเวลาดำเนินงานวงเงินงบประมาณ (ล้านบาท)
1) ระยะที่ 1 (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 - 2568)6,387.91
1) ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 - 2570)4,586.74
รวม10,974.65

ซึ่งต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 อนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของโครงการฯ โดยมีการปรับลดวงเงินโครงการฯ ระยะที่ 1 ลงเหลือ 5,383.82 ล้านบาท
                   3. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เสนอโครงการฯ ตามข้อเสนอของ ทส. ต่อสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒนาฯ) ในคราวประชุม ครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่              2 มีนาคม 2565 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการของโครงการฯ เนื่องจากเป็นโครงการที่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งนันทนาการให้แก่ประชาชน รวมทั้งเป็นพื้นที่อนุรักษ์และวิจัยสัตว์ป่า นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการกระตุ้นกิจกรรมต่อเนื่องในพื้นที่โดยรอบ ส่งเสริมการท่องเที่ยวในระดับชุมชนและในระดับประเทศซึ่งสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ และให้ อสส. ไปพิจารณาเพิ่มเติมในรายละเอียดโครงการฯ เช่น แนวทางการเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายของโครงการฯ
                   4. คณะอนุกรรมการพิจารณางบลงทุนประจำปีของรัฐวิสาหกิจ (อยู่ภายใต้ สศช.) ในการประชุม ครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2565 มีมติให้ อสส. เร่งเสนอขออนุมัติและให้ดำเนินการลงทุนได้เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วเพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2550 ข้อ 5 (กำหนดให้รัฐวิสาหกิจจัดทำงบลงทุนเสนอสภาพัฒนาฯ หรือคณะรัฐมนตรีพิจารณา แล้วแต่กรณี)
                   5. โครงการฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
                             5.1 แนวคิด เป็นสวนสัตว์ที่ทันสมัยระดับนานาชาติเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติ                    ที่สมบูรณ์ครบถ้วนในระดับสากล ทั้งการเป็นแหล่งเรียนรู้ชีวิตสัตว์ป่าทั้งในและนอกถิ่นอาศัย ระบบภูมินิเวศทางธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการอนุรักษ์ศึกษาวิจัยและเพาะขยายพันธุ์สัตว์ป่าคืนสู่ธรรมชาติ รวมถึงเป็นพื้นที่อำนวยประโยชน์แก่สังคมโดยรวมและเป็นแหล่งนันทนาการ ที่รองรับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
                             5.2 ที่ตั้งและขอบเขตที่ดินที่ตั้งโครงการ โครงการฯ ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลรังสิต อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี โดยอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดปทุมธานี ห่างจากตัวจังหวัดปทุมธานี ประมาณ                    30 กิโลเมตร และมีอาณาเขตติดกับพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้

ทิศติดต่อกับ
ทิศตะวันออกติดกับพื้นที่สนามกอล์ฟ เดอะ อาร์จี ซิตี้ กอล์ฟคลับและทุ่งนา
ทิศเหนือติดกับพื้นที่ชุมชนคลองหกติดคลองรังสิต ถนนซอยคลองหกและถนนเลียบคลองรังสิต
ทิศใต้ติดกับพื้นที่ติดทุ่งนา
ทิศตะวันตกติดกับพื้นที่ชุมชนคลองหก ถนนซอยคลองหกและคลองหก

สภาพภูมิประเทศของพื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม ปัจจุบันเป็นพื้นที่เปิดโล่งสลับไม้ยืนต้นขนาดกลางลักษณะที่ตั้งพื้นที่โครงการเป็นพื้นที่รับน้ำ มีการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่รกร้าง และโครงการฯ จัดเป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อสาธารณูปการจึงไม่ขัดต่อผังเมืองรวม ตามกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. 2558
                             5.3 การออกแบบ

ประเภทงานรายละเอียด
งานสถาปัตยกรรมการออกแบบคำนึงถึงการประหยัดพลังงานและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด โดยออกแบบรูปลักษณ์ให้สอดคล้องไปกับภูมิประเทศสะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์ขององค์กรที่ใส่ใจต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
งานสถาปัตยกรรม
ภายใน
การออกแบบคำนึงถึงความต่อเนื่องจากแนวคิดของงานสถาปัตยกรรม โดยใช้การกักขังตัวเองในกรงเพื่อสังเกตชีวิตของสัตว์ชนิตต่าง ๆ ใช้การตีความการมองเห็น การพรางตัว ในสิ่งปกคลุมจากธรรมชาตินั้นมาเป็นแนวคิดหลักในการออกแบบตกแต่งภายใน โดยแสดงผ่านการใช้เส้นสาย สี ลวดลาย ลักษณะพื้นผิวสัมผัสของวัสดุธรรมชาติ มาประยุกต์ใช้ในงานออกแบบภายใน สะท้อนแนวคิด Visual Art (ศิลปะที่รับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทางตาหรือการมองเห็น) เพื่อสร้างความรู้สึก ความสวยงามแก่ผู้ใช้พื้นที่
งานภูมิสถาปัตยกรรมเช่น WETLAND REVIVAL: ชุบชีวิตทุ่งน้ำ อนุรักษ์ธรรมชาติพื้นถิ่น แนวความคิดการชุบชีวิตทุ่งน้ำรังสิตเพื่อการอนุรักษ์และเชิดชูเอกลักษณ์ของธรรมชาติพื้นถิ่นที่มีความโดดเด่น เป็นสวนสัตว์ที่มีอัตลักษณ์การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติในหน้าน้ำแล้งและหน้าน้ำหลาก ส่งผลให้เกิดจุดขายที่มีความน่าสนใจของบรรยากาศโครงการตามฤดูกาล

                             5.4 พื้นที่โครงการฯ 300 ไร่ โดยมีการแบ่งการใช้ประโยชน์พื้นที่ เป็น 6 ส่วนหลัก ดังนี้

ประเภทงานรายละเอียด
(1) พื้นที่จัดแสดงและนิทรรศการประมาณ 171 ไร่ (ร้อยละ 57 ของพื้นที่ทั้งหมด) โดยพื้นที่จัดแสดงสัตว์แบ่งออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่ 1) ส่วนจัดแสดงทวีปแอฟริกา พื้นที่ประมาณ 42 ไร่ 2) ส่วนจัดแสดงทวีปออสเตรเลียและสวนสัตว์เด็ก พื้นที่ประมาณ 19 ไร่ 3) ส่วนจัดแสดงทวีปเอเชีย พื้นที่ประมาณ 66 ไร่ 4) ส่วนจัดแสดงทวีปอเมริกาใต้พื้นที่ประมาณ 14 ไร่ และ 5) ส่วนอาคาร Terrarium world (จัดสวนขวด - สวนแก้วจิ๋ว) และร้านอาหาร พื้นที่ประมาณ 30 ไร่
(2) พื้นที่ป้องกันน้ำท่วมและถนนประมาณ 42 ไร่ (ร้อยละ 14 ของพื้นที่ทั้งหมด) เป็นคันดินป้องกันน้ำท่วม
(3) พื้นที่ส่วนบริหารและวิจัยประมาณ 33 ไร่ (ร้อยละ 11 ของพื้นที่ทั้งหมด) ประกอบด้วย อาคารสำนักงานโรงพยาบาลสัตว์ และส่วนวิจัย
(4) พื้นที่สวนเฉลิมพระเกียรติประมาณ 21 ไร่ (ร้อยละ 7 ของพื้นที่ทั้งหมด) ประกอบด้วย สวนสาธารณะและอาคารเฉลิมพระเกียรติ
(5) พื้นที่ส่วนกลางและเชิงพาณิชย์ประมาณ 18 ไร่ (ร้อยละ 6 ของพื้นที่ทั้งหมด) ประกอบด้วย ส่วนอาคารต้อนรับอาคารนิทรรศการ จุดจำหน่ายตั๋ว อาคารโรงอาหาร และลานกิจกรรมอเนกประสงค์
(6) ที่จอดรถประมาณ 15 ไร่ (ร้อยละ 5 ของพื้นที่ทั้งหมด) ประกอบด้วย อาคารจอดรถและลานจอดรถ

                             5.5 สรุปมูลค่าก่อสร้างโครงการ ได้ทำการแบ่งระยะก่อสร้างออกเป็น 2ระยะ* มูลค่ารวมทั้งสิ้น 9,723.97 ล้านบาท** (เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายอื่นจะมีวงเงินโครงการฯ เท่ากับ 10,974.65 ล้านบาท ตามที่ ทส. เสนอ) สรุปได้ ดังนี้
                                       5.5.1 การก่อสร้างระยะที่ 1 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 5,383,82 ล้านบาท ประกอบไปด้วยงานต่าง ๆ ดังนี้

รายการงบเงินงบประมาณ
(ล้านบาท)
(1) งานสาธารณูปโภคโครงการ เป็นการปรับพื้นที่ให้ได้ตามแนวคิดเกาะนิเวศและเป็นการจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานให้โครงการ1,142.46
(2) งานอาคาร รวมทั้งสิ้น 8 อาคาร เช่น อาคารเฉลิมพระเกียรติ อาคารต้อนรับและอาคารศูนย์การเรียนรู้ อาคารสำนักงานใหญ่ อาคารโรงพยาบาลสัตว์ เป็นต้น1,014.85
(3) งานส่วนจัดแสดง ได้แก่ พื้นที่จัดแสดงโซนแอฟริกาประกอบด้วยสัตว์ 18 ชนิดพันธุ์ 155 ตัว และพื้นที่จัดแสดงโซนเอเชีย บางส่วน (ร้อยละ 70) ประกอบด้วยสัตว์ 62 ชนิดพันธุ์ 239 ตัว และงาน Smart Z00 (ระบบคอมพิวเตอร์ของสวนสัตว์)2,543.22
(4) งานภูมิสถาปัตยกรรม เช่น งานรั้ว งานประตูทางเข้าออก พื้นที่สถาปัตยกรรมส่วนอาคารต้อนรับ สวนเฉลิมพระเกียรติ ทางเดินชมสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น683.29
รวม5,383.82

                                      5.5.2 การก่อสร้างระยะที่ 2 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 4,340.16 ล้านบาท ประกอบไปด้วยงานต่าง ๆ ดังนี้

รายการงบเงินงบประมาณ
(ล้านบาท)
(1) งานสาธารณูปโภคส่วนที่เหลือ เช่น งานถมดิน เพื่อปลูกต้นไม้371.90
(2) งานอาคาร รวมทั้งสิ้น 13 อาคาร เช่น อาคารจอดรถยนต์ อาคารศูนย์อาหารและภัตตาคาร อาคารสำนักงานผู้ดูแลสัตว์ ศูนย์ชันสูตรซากสัตว์ โรงจอดรถขนส่งภายในสวนสัตว์ เรือนเพาะชำ เป็นต้น1,561.94
(3) งานส่วนจัดแสดงสัตว์ส่วนที่เหลือ เช่น พื้นที่จัดแสดงโซนเอเชียส่วนที่เหลือพื้นที่จัดแสดงโซนออสเตรเลีย พื้นที่จัดแสดงโซนอเมริกาใต้ สวนสัตว์เด็ก เป็นต้น769.95
(4) งานภูมิสถาปัตยกรรม เช่น อาคารต้อนรับ/อาคารสำนักงานส่วนที่เหลือตกแต่งคันดินโดยรอบ เป็นต้น205.57
(5) งานอื่น ๆ เช่น เตาเผาซากและเตาเผาขยะ Solar Cell เป็นต้น1,430.80
รวม4,340.16

หมายเหตุ: * โครงการฯ ใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปี โดยจะเปิดให้บริการระยะแรกตั้งแต่ปีที่ 4 และเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่ปีที่ 6 เป็นต้นไป
              ** เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายในส่วน 1) ค่าคุมงาน จำนวน 291.72 ล้านบาท 2) ค่าซื้อสัตว์ จำนวน 658.95 ล้านบาท และ                  3) ค่าครุภัณฑ์ 300 ล้านบาท จะเท่ากับกรอบวงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 10,974.65 ล้านบาท ตามที่ ทส. เสนอ
 
                             5.6 รายการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Checklist: EC) เนื่องจากโครงการฯ ไม่เข้าข่ายประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EIA) จึงได้ให้จัดทำรายการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นพร้อมกำหนดมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) โดยมีประเด็นที่สำคัญ เช่น
                                      5.6.1 มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม สรุปได้ ดังนี้

ระยะก่อสร้างโครงการ
(1) อากาศ/คุณภาพอากาศ
ในการกองวัสดุที่มีฝุ่นหรือเศษวัสดุที่เหลือใช้ต้องปิดหรือคลุมด้วยผ้าใบให้มิดชิดต้องไม่กองหรือเก็บเศษวัสดุที่เหลือใช้ไว้หน้างานเป็นระยะเวลานาน และจัดให้มีรถบรรทุกมารับไปกำจัด อย่างน้อย 7 วัน จัดให้มีพนักงานคอยกวาดเศษดินทรายบริเวณปากทางเข้า - ออก พื้นที่ก่อสร้างโครงการ ในด้านการขนส่งและใช้เครื่องจักรให้ใช้ผ้าใบคลุมรถบรรทุกที่ขนส่งดิน วัสดุก่อสร้าง หิน ดิน ทรายเพื่อป้องกันการร่วงหล่นลงถนน
(2) ทรัพยากรดิน
ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการพังทลายของดินที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดมาตรการป้องกันการพังทลายของดินหรือสิ่งปลูกสร้างในการขุดดินหรือถมดิน พ.ศ. 2548 อย่างเคร่งครัด รวมถึงขุดร่องน้ำบริเวณบ่อขุด เพื่อเบี่ยงทางน้ำและระบายน้ำออกจากบ่อขุดได้อย่างเร็ว ในบริเวณปากทางเข้า – ออก กำหนดให้มีพื้นที่ล้างล้อรถบรรทุกเข้า - ออกพื้นที่โครงการ
(3) เสียง
ติดตั้งเมทัลชีทรั้วชั่วคราว ความสูง 6 เมตร ในบริเวณพื้นที่ที่ติดกับบ้านเรือนของประชาชน และหยุดกิจกรรมที่ทำให้เกิดเสียงดังตั้งแต่ 17.00 น. เป็นต้นไป
(4) การสั่นสะเทือน
การก่อสร้างฐานรากและโครงสร้าง ต้องกำหนดให้ใช้เข็มเจาะไฮโดรลิค และก่อนก่อสร้างโครงการ 1 เดือนต้องแจ้งเจ้าบ้านและอาคารข้างเคียงให้ทราบ หากมีเรื่องร้องเรียนต้องแก้ไขทันที และในกรณีแรงสั่นสะเทือนทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือสิ่งปลูกสร้างต้องเข้าซ่อมแซมทันที หรือดำเนินการจ่ายค่าชดเชยตามความเหมาะสม
(5) การคมนาคมและการขนส่ง
กำหนดช่วงเวลาในการขนส่งวัสดุ/อุปกรณ์ก่อสร้างให้อยู่ในช่วงเวลาประมาณ 19.00 - 16.00 น. เท่านั้น
และหลีกเสียงการขนส่งวัสด/อุปกรณ์ก่อสร้างในช่วงที่มีปริมาณจราจรหนาแน่น รวมถึงช่วงที่มีการปรับปรุง
ถนนโครงการต้องมีการจัดการจราจรและเครื่องหมายจราจรบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง
(6) สภาพเศรษฐกิจและสังคม
ต้องอนุญาตให้ประชาชนผู้มีพื้นที่ทำกินในพื้นที่โครงการได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวผลผลิตทางเกษตรก่อนการย้ายที่ดิน รวมถึงโครงการต้องจัดหา และพิจารณาแรงงานในท้องถิ่นก่อน
ระยะดำเนินการ
(1) เสียง
จัดให้มีพื้นที่สีเขียวบริเวณแนวเขตที่ดินของพื้นที่โครงการ โดยปลูกไม้ยืนต้นเพื่อเป็นแนวกันชนช่วยลดระดับเสียงจากโครงการ
(2) การคมนาคมและการขนส่ง
จัดทำเครื่องหมายจราจรบนพื้นทาง แบ่งช่องจราจรการเดินรถให้ชัดเจน รวมทั้งติดตั้งป้ายจราจรต่าง ๆ เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยในการเดินรถออกจากโครงการเข้าสู่ถนน รวมถึงให้มีพนักงานอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาใช้บริการไม่ให้เกิดการกีดขวางการจราจรบนถนนบริเวณด้านหน้าโครงการ และห้ามจอดรถด้านหน้าโครงการ จัดให้มีรถบริการรับส่งนักท่องเที่ยวจากสถานีรถไฟรังสิต/รถไฟฟ้าสายสีแดง/ศูนย์การค้า รวมทั้งจัดหาที่จอดรถยนต์ที่เพียงพอ
(3) การระบายน้ำ
ควบคุมอัตราการระบายน้ำออก ไม่ให้เกินกว่าอัตราการระบายก่อนพัฒนาโครงการ
(4) สภาพเศรษฐกิจและสังคม
เปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ได้เข้าทำงานในโครงการได้ตามความเหมาะสมตามความรู้ ความสามารถ

                             5.6.2 มาตรการติดตามการตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม สรุปได้ ดังนี้

ระยะก่อสร้าง
(1) ด้านคุณภาพอากาศ มีสถานีติดตามตรวจสอบปริมาณฝุ่นละอองบริเวณพื้นที่ก่อสร้างโครงการ จำนวน 1 สถานี
(2) ด้านคุณภาพน้ำผิวดิน มีสถานีติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำ จำนวน 2 สถานี
(3) ด้านเสียง มีสถานีติดตามตรวจสอบระดับเสียง จำนวน 1 สถานี
(4) ด้านความสั่นสะเทือน มีสถานีติดตามตรวจสอบระดับแรงสั่นสะเทือน จำนวน 1 สถานี
ระยะดำเนินการโครงการ
(1) ด้านคุณภาพน้ำผิวดิน มีสถานีติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำ จำนวน 2 สถานี (เป็นสถานีเดียวกันกับในระยะก่อสร้างโครงการ)
(2) อุทกวิทยาน้ำใต้ดิน/คุณภาพน้ำใต้ดิน มีสถานีติดตามตรวจสอบบ่อน้ำบาดาลในพื้นที่โครงการ จำนวน 1 บ่อ
(3) มาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบด้านเสียง มีสถานีติดตามตรวจสอบระดับเสียง จำนวน 1 สถานี
บริเวณด้านหน้าโครงการสวนสัตว์

                             5.7 การมีส่วนร่วมของประชาชน มีการประชุมรับฟังความคิดเห็น (ผู้เข้าร่วม 101 คน) และสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่รัศมี 1 กิโลเมตร จากโครงการฯ (อำเภอธัญบุรีและอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี) จำนวน 327 ครัวเรือน ระหว่างวันที่ 11 - 13 สิงหาคม 2564 ดังนี้

เห็นด้วยกับโครงการฯไม่เห็นด้วยกับโครงการฯ
ร้อยละ 99.06 (324 ครัวเรือน)รอยละ 0.94 (3 ครัวเรือน)

                             5.8 การประมาณการรายรับโครงการ ตามแผนการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่คาดการณ์จะดำเนินการแบ่งเป็น 2 ระยะ และใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้นรวม 5 ปี โดยจะเปิดให้บริการในระยะที่ 1 ได้ตั้งแต่ปีที่ 4 (พ.ศ. 2569) หลังจากนั้นจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่ปีที่ 6 (พ.ศ. 2571) เป็นต้นไป รายรับจากสวนสัตว์แห่งใหม่สามารถแบ่งได้ 7 ประเภท โดยปีที่ 1 - 3 จะยังไม่มีรายได้ในทุกประเภท ปีที่ 4 - 7 มีรายได้ ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท

ประเภทปีที่ 4ปีที่ 5ปีที่ 6ปีที่ 7
รายรับค่าเข้าชม48.7651.20161.23169.29
รายรับจากการบริการอาหาร        และเครื่องดื่ม--16.5417.52
รายรับจากการขายสินค้าที่ระลึก4.805.0910.7811.42
รายรับจากการให้เช่าพื้นที่12.5113.2944.2146.67
รายรับจากการจัดกิจกรรม--50.7460.88
รายรับค่าสมาชิกอุปถัมภ์20.0021.0044.1046.31
รายรับค่าสปอนเซอร์10.0010.0010.0011.00
รวม96.07100.58337.60363.09

                             5.9 ประมาณการค่าใช้จ่ายระหว่างการให้บริการสวนสัตว์แห่งใหม่ตั้งแต่ปีที่ 4                      โดยสามารถแบ่งค่าใช้จ่ายได้เป็น 2 รูปแบบ คือ ค่าใช้จ่ายคงที่และค่าใช้จ่ายผันแปร ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท

ประเภทปีที่ 4ปีที่ 5ปีที่ 6ปีที่ 7
ค่าใช้จ่ายคงที่
ค่าใช้จ่ายเงินเดือน20.7021.3243.9245.24
ค่าบริหารจัดการสวนสัตว์5.425.4711.0411.14
ค่าอาหารสัตว์ ค่ายา และค่าดูแลรักษาสัตว์4.264.298.678.75
ค่าสาธารณูปโภค27.7628.0156.5457.06
ค่าวัสดุสิ้นเปลือง1.501.513.063.08
ค่าซ่อมบำรุงทั่วไป----
ค่าซ่อมบำรุงและปรับปรุงพื้นที่----
ค่าบริหารจัดการการจัดกิจกรรม--10.0010.09
ค่าใช้จ่ายผันแปร
ค่าบริหารพื้นที่เช่า0.380.401.331.40
ค่าบริหารจัดการสมาชิกอุปถัมภ์1.001.052.212.32
ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์4.885.1216.1216.93
ค่าสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายอื่น0.390.390.890.90
รวม66.2767.56153.78156.91

                   6. ความเหมาะสมทางเศรษฐศาสตร์ของโครงการฯ
                             6.1 ในการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงินของโครงการฯ สรุปได้ว่าโครงการฯ ไม่มีความคุ้มค่าหากพิจารณาเฉพาะผลตอบแทนทางการเงินใช้เกณฑ์ ดังนี้

ระยะเวลาคืนทุน29.71 ปี หรือ 29 ปี 8.5 เดือน
มูลค่าปัจจุบันสุทธิ-5,835.35 ล้านบาท
อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน0.36 เท่า
อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนร้อยละ 0.42 ต่อปี

                             6.2 ในการวิเคราะห์ความเหมาะสมทางเศรษฐศาสตร์จะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างผลประโยชน์และต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ (Cost Benefit Analysis) โดยกำหนดอัตราคิดลดตามต้นทุนเงินทุนเฉลี่ยร้อยละ 12 ต่อปี อ้างอิงตามการศึกษาถึงต้นทุนของเงินลงทุนในประเทศไทยโดยธนาคารโลกและ สศช. สรุปได้ว่าโครงการฯ มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ดังนี้

มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (ENPV)2,309.09 ล้านบาท
อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน (EB/C ratio)1.35 เท่า
อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนทางเศรษฐศาสตร์ (EIRR)ร้อยละ 15.1 ต่อปี

                   
16. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 20/2565
                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ (คกง.) ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 (พระราชกำหนดกู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564) ในคราวประชุมครั้งที่ 20/2565 เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2565 ดังนี้
                   1. อนุมัติโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 5 กรอบวงเงิน 5,336.8304 ล้านบาท และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 3 กรอบวงเงิน 890.8816 ล้านบาท ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง (กค.) โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดกู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ภายใต้แผนงานหรือโครงการกลุ่มที่ 21 เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) และภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้ราคาสินค้าและค่าครองชีพปรับสูงขึ้น เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถดำรงชีพอยู่ได้ในภาวะวิกฤติ
                   2. อนุมัติโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 กรอบวงเงินรวม 21,200 ล้านบาท ของ สศค. กค. โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดกู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ภายใต้แผนงานหรือโครงการกลุ่มที่ 32 เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานรากให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยการเพิ่มอุปสงค์การบริโภคและกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ รวมถึงเกิดการลงทุน ตลอดจนลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชนในสถานการณ์ที่ราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงขึ้น
                   3. มอบหมายให้ สศค. กค. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการตามข้อ 1 และข้อ 2 และดำเนินการจัดทำแผนความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะสามารถจัดหาเงินกู้เพื่อใช้จ่ายโครงการตามแผนการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงพร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ 15 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี               ว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 พ.ศ. 2564 (ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีกู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564) โดยเคร่งครัดต่อไป และรับความเห็นและข้อสังเกตเพิ่มเติมของ คกง. ภายใต้พระราชกำหนดกู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ตามข้อ 3 (1) และข้อ 3 (2) ไปดำเนินการตามข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
_________________________________
1 เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้แก่ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19
2 เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19
 
17. เรื่อง โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) Re - Open ธุรกิจโรงแรมและ Supply Chain ของโรงแรม
                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) Re - Open ธุรกิจโรงแรมและ Supply Chain ของโรงแรม (โครงการฯ) รวมถึงอนุมัติงบประมาณวงเงินรวม 200 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินโครงการฯ พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises: SMEs) ในธุรกิจโรงแรมและสาขาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (Supply Chain) ของโรงแรม1                    ให้มีสภาพคล่องที่เพียงพอ เพื่อเป็นเงินทุนในการฟื้นฟูกิจการให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจต่อไปได้
                   สาระสำคัญของเรื่อง
                   กค. รายงานว่า
                   1. จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) (โรคโควิด 19) ระลอกใหม่ที่เริ่มคลี่คลายลง นำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการควบคุมในพื้นที่ต่าง ๆ มีการผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศ รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมให้โรคโควิด 19 เป็นโรคประจำถิ่น ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เริ่มกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจโรงแรมและ Supply Chain ของโรงแรมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ทำให้มีรายได้ลดลงและประสบปัญหาทางด้านการเงิน ส่งผลให้ขาดสภาพคล่องที่เพียงพอเพื่อเป็นเงินทุนในการฟื้นฟูกิจการให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ประกอบกับสถาบันการเงินยังมีความไม่มั่นใจกับการปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าว เนื่องจากมองว่ามีความเสี่ยงในการชำระหนี้คืนทำให้มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจโรงแรมและ Supply Chain ของโรงแรมยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างเพียงพอที่จะนำไปใช้เพื่อการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ดังนั้น เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจโรงแรมและ Supply Chain ของโรงแรมให้มีสภาพคล่องที่เพียงพอเพื่อเป็นเงินทุนในการฟื้นฟูกิจการให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจต่อไปได้ กค. จึงเสนอโครงการฯ เพื่อบรรเทาและป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการฯ สรุปได้ ดังนี้

หลักเกณฑ์/เงื่อนไขรายละเอียด
วัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจโรงแรมและ Supply Chain ของโรงแรมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เพื่อปรับปรุงหรือซ่อมแซมสถานประกอบกิจการหรือลงทุนในอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องอบผ้า เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้าอุตสาหกรรม เป็นต้น
กลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจโรงแรมและ Supply Chain ของโรงแรม
คุณสมบัติผู้กู้(1) ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศ ซึ่งมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน
(2) เป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมและ Supply Chain ของโรงแรม
(3) กรณีเป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแรมหรืออยู่ระหว่างดำเนินการขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแรมก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2563
(4) เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม
(5) มีกำไรอย่างน้อย 1 ใน 3 ปี ย้อนหลังล่าสุด
(6) กรณีเป็นนิติบุคคล ส่วนของผู้ถือหุ้นต้องไม่ติดลบ
(7) ประวัติการชำระหนี้
          - ไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non - Performing Loan: NPLs) ไม่ถูกดำเนินคดี ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ณ วันยื่นคำขอ
          - กรณีลูกหนี้ปกติ ไม่มีหนี้ค้างชำระก่อนวันยื่นขอเข้าโครงการ
          - กรณีลูกหนี้เคยปรับเงื่อนไขการชำระหนี้หรือเคยปรับโครงสร้างหนี้ที่ผ่านมา            ต้องไม่มีหนี้ค้างชำระก่อนวันยื่นขอเข้าโครงการ
ทั้งนี้ เป็นการให้สินเชื่อใหม่แก่ลูกค้าเดิมหรือลูกค้าใหม่ และไม่ใช่ลูกหนี้ที่โอนหนี้ (Refinance)
ประเภทสินเชื่อเงินกู้ระยะยาว (L/T)
วงเงินโครงการ5,000 ล้านบาท (ธนาคารออมสินให้สินเชื่อโดยตรงกับผู้ประกอบการ)
วงเงินอนุมัติสินเชื่อไม่เกินรายละ 5,000,000 บาท
ระยะเวลากู้ระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 7 ปี โดยมีระยะเวลาปลอดชำระเงินต้น (Grace Period) ไม่เกิน              2 ปี ในกรณีที่มีระยะเวลาการกู้ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป
อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 - 2 ร้อยละ 1.99 ต่อปี
ปีที่ 3 - 7 อัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามที่ธนาคารออมสินกำหนด
หลักประกัน(1) หลักทรัพย์ค้ำประกันเต็มวงเงิน หรือ
(2) หลักทรัพย์ค้ำประกันร่วมกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) หรือ
(3) บสย. ค้ำประกันเต็มวงเงิน
ระยะเวลาการยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 หรือจนกว่าวงเงินสินเชื่อรวมในโครงการจะหมด แล้วแต่ระยะเวลาใดจะถึงก่อน และให้เบิกจ่ายเงินกู้ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับจากวันทำนิติกรรมสัญญา ทั้งนี้ ไม่เกินวันที่ 30 ธันวาคม 2566
เงื่อนไขการชดเชยของรัฐบาลรัฐบาลชดเชยต้นทุนเงินให้กับธนาคารออมสินในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา              2 ปี รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 200 ล้านบาท (วงเงิน 5,000 ล้านบาท * ร้อยละ 2 ต่อปี * ระยะเวลา 2 ปี) โดยธนาคารออมสินจะทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป
เงื่อนไขอื่น ๆ(1) ธนาคารออมสินแยกบัญชีโครงการเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA)
(2) ธนาคารออมสินสามารถนำส่วนต่างระหว่างค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกินขึ้นจริงและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ได้รับชดเชยเพื่อบวกกลับในการคำนวณโบนัสประจำปีของพนักงานได้ และเป็นส่วนหนึ่งในการปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจได้
(3) ธนาคารออมสินสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีปฏิบัติตามระเบียบคำสั่งของธนาคารได้
ประโยชน์ที่จะได้รับคาดว่าจะช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจโรงแรมและ Supply Chain ของโรงแรมให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ 1,000 ราย และสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ภายใต้สภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน

                   2. กค. ได้จัดทำรายละเอียดการดำเนินการตามมาตรา 27 และมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อประกอบการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว โดยในส่วนของการดำเนินการตามมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 กค. แจ้งว่า ณ สิ้นวันที่ 10 มิถุนายน 2565 ภาระที่รัฐต้องรับชดเชยตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว มียอดคงค้างจำนวน 1,069,360.09 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 34.50 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 (วงเงิน 3,100,000 ล้านบาท) ดังนั้น หากคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ธนาคารออมสินดำเนินโครงการฯ จำนวน 200 ล้านบาท จะส่งผลให้ภาระที่รัฐบาลต้องรับชดเชย ซึ่งเมื่อรวมโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีด้วยแล้วจะมียอดคงค้างเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1,076,760.09 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 34.74 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ซึ่งยังคงไม่เกินอัตราร้อยละ 35 ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนดไว้ และเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 29 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการดำเนินมาตรการดังกล่าว ธนาคารออมสินจะจัดทำบัญชีสำหรับการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่ได้รับมอบหมายแยกต่างหากจากบัญชีการดำเนินงานทั่วไป พร้อมทั้งเสนอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและผลสัมฤทธิ์ต่อรัฐมนตรี เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่อไป
_______________________________
1 กค. แจ้งว่า ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (Supply Chain) ของโรงแรม หมายถึง ธุรกิจที่ผลิตสินค้าและบริการให้กับธุรกิจโรงแรม เช่น ร้านซักรีด ธุรกิจติดตั้งระบบไฟฟ้า/ระบบปรับอากาศ ธุรกิจจัดเลี้ยง (catering) เป็นต้น โดยธนาคารออมสินจะเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่าธุรกิจใดบ้างที่เข้าข่ายเป็น Supply Chain ของธุรกิจโรงแรมดังกล่าว
 
18. เรื่อง การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร คราวที่ 19 ออกไปอีก 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2565 และสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 2565
                   เรื่องเดิม เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 18) ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 และสิ้นสุดในวันที่ 31 กรกฎาคม 2565 เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19                     ในประเทศ
                   การดำเนินการที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจุบันการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินใกล้จะสิ้นสุดลง ศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) จึงได้จัดการประชุมเพื่อประเมินและกลั่นกรองการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม 2565 ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล และได้เสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)                   ครั้งที่ 10/2565 เมื่อวันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565 มีมติเห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไปด้วยแล้ว โดยมีเหตุผลและความจำเป็นตามสรุปสาระสำคัญของการประชุมรายละเอียด ดังนี้
                   1. กรมควบคุมโรคได้รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาด ดังนี้
                             1.1 สถานการณ์ในระดับโลก มีแนวโน้มพบการติดเชื้อเพิ่มทั้งในทวีปเอเชียและทั่วโลกเพิ่มขึ้นแบบระลอกเล็กและระบาดในวงจำกัด (Small Wave) ภายหลังทั่วโลกมีการผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและการเดินทางระหว่างประเทศ ขณะที่แนวโน้มผู้เสียชีวิตยังคงที่
                             1.2 สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ผู้ป่วยกำลังรักษา ผู้ป่วยหนัก และผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบอัตราการครองเตียงระดับ 2 (สีเหลือง) และระดับ 3 (สีแดง) สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้นจากการใช้เตียงรองรับผู้ป่วยอาการหนักของโรคอื่นด้วย นอกจากนี้ยังมีการเน้นย้ำให้แต่ละจังหวัดดำเนินการตามมาตรการ 3 พอ ได้แก่ เตียง ยา เวชภัณฑ์ วัคซีน บุคลากรให้บริการ
                   2. สำหรับแนวโน้มสถานการณ์การแพร่ระบาดในห้วงที่ผ่านมา พบการระบาดในลักษณะเป็นกลุ่มก้อน (Cluster) ในสถานที่เสี่ยง จากสายพันธุ์ใหม่ BA.4 และ BA.5 โดยเฉพาะในโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนในห้องปรับอากาศในหลายจังหวัด ทำให้พบการแพร่โรคไปสู่ครอบครัวและคนใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง (608) และเด็กเล็ก ที่ทำให้มีอาการป่วยหนักตามมา ทั้งนี้ ได้มีการใช้มาตรการควบคุมโรคในโรงเรียนตามแผนเผชิญเหตุของจังหวัดหรือโรงเรียน และเสนอให้คงมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล (Universal Prevention) และใช้การสื่อสารสาธารณะแนะนำประชาชนให้ปฏิบัติตามมาตรการ DMHTT เมื่อมีอาการป่วย ขณะร่วมกิจกรรมที่มีคนจำนวนมากหรืออยู่ในสถานที่ปิด รวมทั้งเร่งรัดการฉีดวัคซีนในทุกเข็มตามมาตรการ Universal Vaccination ในกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงและกลุ่มเปราะบาง (608) เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยอาการหนักซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
                   3. มติของที่ประชุม ที่ประชุมมีความเห็นว่า ยังคงมีความจำเป็นจะต้องใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ต่อไปอีกคราวหนึ่ง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อแพร่กระจายจำนวนมาก อีกทั้งมีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นและระบาดแพร่หลายเป็นระยะ กรณีจึงยังคงมีสถานการณ์ฉุกเฉินอันกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน และเพื่ออาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดฯ เพื่อประโยชน์ในการบูรณาการการปฏิบัติงานและการดำเนินมาตรการที่จำเป็นในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความต่อเนื่อง จึงเห็นสมควรให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปในคราวที่ 19                  เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2565 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2565
 

ต่างประเทศ

19. เรื่อง  การดำเนินการในฐานะสมาชิก Global Forum on Transparency and Exchange of Information for Tax Information for Tax Purposes (Global Forum)
                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการในฐานะสมาชิก Global Forum on Transparency and Exchange of Information for Tax Purposes (Global Forum) [เป็นการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการในฐานะสมาชิก Global Forum ของไทยตามมติคณะรัฐมนตรี (23 สิงหาคม 2559) ที่เห็นชอบให้ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกกรอบความร่วมมือ Global Forum] ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
                   1. การขยายเครือข่ายรัฐภาคีในการแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยไทยได้ดำเนินการ ดังนี้
                             1) ข้อมูลการบริหารภาษี เข้าเป็นพทุภาคีว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านการบริหารภาษี ซึ่งมีผลผูกพันเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2564 โดยมีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 54)                      พ.ศ. 2564 รองรับการเข้าเป็นภาคีดังกล่าวด้วยแล้วทำให้ไทยสามารถขยายเครือข่ายรัฐภาคีในการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ตามที่ Global Forum กำหนด
                             2) ข้อมูลทางการเงิน อยู่ระหว่างการเข้าร่วมเป็นภาคีในความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ ซึ่ง กค. ได้จัดทำร่างพะราชบัญญัติการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ.... เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศ (ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา) นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ลงนามคำแถลงการณ์เพื่อเข้าเป็นภาคีในความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2565 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดส่งคำแถลงการณ์ดังกล่าวผ่านช่องทางการทูตให้องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) และ กค. จะเสนอเรื่องความตกลงดังกล่าวเข้าสู่วาระการพิจารณาของรัฐสภาต่อไป
                             3) ความโปร่งใสทางภาษี เข้าร่วมเป็นสมาชิกในโครงการ The Asia Initiative ระหว่างปี 2565 – 2569
                   2. การเข้ารับการประเมินการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบร้องขอ (Exchange of Information on Request Peer Reviews: EOIR Peer Reviews) โดยไทยอยู่ระหว่างเตรียมการเพื่อเข้ารับการประเมิน EOIR Peer Reviews ระหว่างเดือนกันยายน 2565-เดือนเมษายน 2566 โดยการประเมินจะครอบคลุมการดำเนินการที่ผ่านมาเป็นระยะเวลา 3 ปีย้อนหลัง (ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 – 31 มีนาคม 2565) รวมถึงการประเมินข้อกฎหมายของไทยที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลทั้งหมด
 
20. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 55 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารจำนวน 11 ฉบับ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
                   1. ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 55 (Joint Communique of 55th  ASEAN Foreign Ministers’ Meeting) 
                   2. ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินความสัมพันธ์คู่เจรจาอาเซียน-สหราชอาณาจักร ค.ศ. 2022-2026 (Plan of Action to Implement the ASEAN-United Kingdom Dialogue Partnership 2022-2026)
                   3. ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อาเซียน-สหภาพยุโรป ค.ศ. 2023-2027 (Plan of Action to Implement the ASEAN-European Union Strategic Partnership 2023-2027)
                   4. ร่างภาคผนวกเอ - ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้านอาเซียน-ออสเตรเลีย (Annex A - ASEAN-Australia Comprehensive Strategic Partnership)
                   5. ร่างภาคผนวกของแผนปฏิบัติการอาเซียน-จีน ค.ศ. 2021-2025: ขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้านระหว่างอาเซียนกับจีน (Annex to the ASEAN-China Plan of Action 2021-2025: Advancing ASEAN-China Comprehensive Strategic Partnership)
                   6. ร่างแผนงานความร่วมมืออาเซียนบวกสาม ค.ศ. 2023-2027 (ASEAN Plus Three Cooperation Work Plan 2023-2027 )
                   7. ร่างแผนปฏิบัติการการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ค.ศ. 2023-2027 (The East Asia Summit (EAS) Plan of Action 2023-2027)
                   8. ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างการดำเนินการตามสนธิสัญญาว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ค.ศ. 2023-2027 (Plan of Action to Strengthen the Implementation of the Treaty on the Southeast Asia Nuclear Weapon-Free Zone 2023-2027)
                   9. ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่งคั่งผ่านการทูตเชิงป้องกัน (ASEAN Regional Forum Statement to Promote Peace, Stability, and Prosperity through Preventive Diplomacy)
                   10. ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเพื่อสนับสนุนการธำรงไว้ซึ่งเขตปลอดอาวุธนิวเคดียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Draft ASEAN Regional Forum Statement on Supporting the Preservation of Southeast Asia Nuclear Weapon-Free Zone)
                   11. ร่างแผนงานของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่ด้วยความมั่นคงทางทะเล ค.ศ. 2022-2026 (Draft ASEAN Regional Forum Work Plan for Maritime Security 2022-2026)
                   ทั้งนี้หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) หรือส่วนราชการเจ้าของเรื่องดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก รวมทั้งให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว
                   สาระสำคัญของร่างเอกสารจำนวน 11 ฉบับ ซึ่งจะมีการเสนอให้ที่ประชุมรับรองระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 55 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ดังนี้
                   1. ร่างแกลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 55 เป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนที่จะสานต่อความร่วมมือในการเสริมสร้างประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะ                  ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิต-19) และการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม                 ในภูมิภาค นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญต่อการเสริมสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนในระยะยาวการลดช่องว่างด้านการพัฒนา การส่งเสริมการบูรณาการทางเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงในภูมิภาค การรักษาสิ่งแวดล้อมและ               การแก้ใขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การส่งเสริมความร่วมมือกับคู่เจรจาและหุ้นส่วนต่าง ๆ ของอาเซียน การเสริมสร้างความเป็นแกนกลางของอาเซียนในโครงสร้างสถาปัตยกรรมในภูมิภาค และการย้ำท่าทีของอาเซียน               ต่อประเด็บภูมิภาคและระหว่างประเทศที่สำคัญต่าง ๆ
                   2. ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินความสัมพันธ์คู่เจรจาอาเซียน-สหราชอานาจักร ค.ศ. 2022-2026 เป็นเอกสารที่ระบุมาตรการการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ที่อาเซียนและสหราชอาณาจักรจะดำเนินการร่วมกัน โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (2565-2569) และระบุประเด็นความร่วมมือ 5 สาขาหลัก ได้แก่               (1) การเมืองและความมั่นคง (2) เศรษฐกิจ (3) สังคมและวัฒนธรรม (4) ความร่วมมือข้ามสาขา อาทิ ความเชื่อมโยง และการพัฒนาที่ยั่งยืน และ (5) การเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียน ซึ่งครอบคลุมประเด็นที่อาเซียนให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนอย่างรอบด้าน
                   3. ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อาเซียน-สหภาพยุโรป ค.ศ. 2023- 2027 จัดทำขึ้นทดแทนแผนงานฯ ฉบับปัจจุบัน (ค.ศ. 2018-2022) ซึ่งจะหมดอายุสิ้นปี 2565 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมในมิติต่าง ๆ ในระยะ 5 ปี ข้างหน้า โดยมีประเด็นที่สำคัญเพิ่มเติมจากแผนงานฯ ฉบับปัจจุบัน ได้แก่ (1) การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่บทบาทสตรีสำหรับสันติภาพและความมั่นคงที่ยั่งยืน (2) ความร่วมมือระหว่างองค์กรของอาเซียนและอียู (3) ความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา (4) น่โยบายการแข่งขันทางการค้าและการคุ้มครองผู้บริโภค (5) การรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำสถิติ และ (6) ความร่วมมือข้ามสาขาต่าง ๆ อาทิ เมืองอัจฉริยะ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ความมั่นคงทางไซเบอร์ เศรษฐกิจหมุนเวียน อาชีวศึกษาและการเดินทางข้ามแดน
                   4. ร่างภาคผนวกเอ – ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้านอาเซียน-ออสเตรเลียจัดทำขึ้นเพื่อระบุความร่วมมือเพิ่มเติมตามที่ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2564 ได้เห็นชอบต่อการเปลี่ยนสถานะความสัมพันธ์อาเซียน-ออสเตรเลียจากหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์เป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน (Comprehensive Strategic Partnership: CSP) โดยร่างภาคผนวกครอบคลุมความร่วมมือภายใต้ข้อริเริ่มออสเตรเลียสำหรับอนาคตของอาเซียน (Australia for ASEAN Futures Initiative) และความร่วมมือเพิ่มเติมภายใต้ 3 เสาของอาเซียน อาทิ การส่งเสริมการฟื้นฟูสีเขียว (green recovery) พลังงานสะอาด ความมั่นคงทางสุขภาพ และความร่วมมือภายใต้กรอบการฟื้นฟูที่ครอบคลุมของอาเซียน
                   5. ร่างภาคผนวกของแผนปฏิบัติการอาเซียน-จีน ค.ศ. 2021-2025 ขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้านระหว่างอาเซียนกับจีน จัดทำขึ้นเพื่อระบุความร่วมมือเพิ่มเติมตามที่ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ครั้งที่ 24 เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564 ได้เห็นชอบต่อการเปลี่ยนสถานะความสัมพันธ์อาเซียน-จีนจากหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์เป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน เพื่อขับเคลื่อน ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมใน 5 ด้าน ได้แก่ (1) หุ้นส่วนเพื่อสันติภาพ (2) หุ้นส่วนเพื่อความมั่นคง (3) หุ้นส่วนเพื่อความรุ่งเรือง (4) หุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และ (5) หุ้นส่วนเพื่อมิตรภาพ ซึ่งจะเป็นแนวทางให้อาเซียนและจีนดำเนินการร่วมกันตามกรอบเวลาของแผนปฏิบัติการอาเซียน-จีน ค.ศ. 2021-2025 ซึ่งจะหมดอายุสิ้นปี 2568
                   6. ร่างแผนงานความร่วมมืออาเซียนบวกสาม ค.ศ. 2023-2027 จัดทำขึ้นเพื่อทดแทนแผนงานฯ ฉบับปัจจุบัน (ค.ศ. 2018-2022) ซึ่งจะหมดอายุสิ้นปี 2565 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมในมิติต่าง ๆ  ในระยะ 5 ปีข้างหน้า ซึ่งรวมถึงการเสริมสร้างขีดความสามารถของภูมิภาคในการรับมือกับประเด็นท้าทายในอนาคต โดยมีประเด็นเพิ่มเติมที่สำคัญ ได้แก่ (1) การฟื้นตัวภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 (2) การสนับสนุนแผนฟื้นฟูเพื่อการท่องเที่ยวอาเซียน (3) การมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (4) การพัฒนาขีดความสามารถของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย เพื่อให้มีความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 และการเติบโตสีเขียว (5) การส่งเสริมการเกษตรที่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (6) การเสริมสร้างความร่วมมือด้านสาธารณสุขเพื่อรับมือกับโรคอุบัติใหม่ในอนาคต และ (7) การส่งเสริมเครือข่ายเมืองอัจฉริยะ ซึ่งรวมถึงความเชื่อมโยงค้านดิจิทัล
                   7. ร่างแผนปฏิบัติการการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ค.ศ. 2023-2027 จัดทำขึ้นเพื่อทดแทนแผนปฏิบัติการมะนิลาเพื่อต่อยอดการดำเนินการตามปฏิญญากรุงพนมเปญว่าด้วยข้อริเริ่มด้านการพัฒนาภายใต้การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ค.ศ. 2018-2022 ซึ่งจะหมดอายุสิ้นปี 2565 มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และครอบคลุมความร่วมมือ 9 สาข ได้แก่ สิ่งแวดล้อมและพลังงาน การศึกษา การคลัง สาธารณสุขระดับโลกและโรคระบาด การบริหารจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความเชื่อมโยง เศรษฐกิจและการค้า ความมั่นคงทางอาหารและการเกษตร และความร่วมมือทางทะเล เพื่อเป็นแนวทางให้ประเทศที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกดำเนินการร่วมกันในระยะ 5 ปีข้างหน้า
                   8. ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างการดำเนินการตามสนธิสัญญาว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ค.ศ. 2023-2027 เป็นเอกสารที่ระบุกรอบการดำเนินงานสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของสนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยแผนปฏิบัติการฉบับใหม่นี้ใช้แผนปฏิบัติการฉบับปัจจุบัน (ค.ศ. 2018-2022) เป็นพื้นฐานและปรับปรุงเนื้อหาบางส่วนให้ทันสมัย
                   9. ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อส่งสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่งคั่งผ่านการทูตเชิงป้องกัน มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่งคั่งในภูมิภาคโดยอาศัยมาตรการด้านการทูตเชิงป้องกัน รวมทั้งการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 การสร้างความเป็นหุ้นส่วนที่สร้างสรรค์ และกิจกรรมการทูตเชิงป้องกันที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
                   10.ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเพื่อสนับสนุนการธำรงไว้ซึ่งเขตปลอดอาวุธนิวเคดียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีสาระสำคัญ  เพื่อแสดงการยึดมั่นต่อเจตนารมณ์ในการธำรงไว้ซึ่งเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกล่าวย้ำความพยายามในการส่งเสริมการลดอาวุธนิวเคลียร์ การไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ การใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ รวมทั้งเรียกร้องให้ประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์มีความรับผิดชอบ และไม่ใช้ หรือข่มขู่ที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์กับภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
                   11. ร่างแผนงานของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยความมั่นคงทางทะเล ค.ศ. 2022-2026 มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือและการประสานงานระหว่างผู้เข้าร่วม ARF อย่างครอบคลุมและเป็นรูปธรรมในประเด็นด้านความมั่นคงทางทะเล
 

แต่งตั้ง

21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้ง นายอนุกูล ปีดแก้ว อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง
 
22. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม
                    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม รวม 4 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์และลาออก ดังนี้           
                    1. คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล   ประธานกรรมการ 
                   2. ศาสตราจารย์อุดม รัฐอมฤต     กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 
                   3. นางเมธินี เทพมณี                กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ  
                   4. นางฐะปาณีย์ อาจารวงศ์        กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ  
                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป โดยผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
 
23. เรื่อง การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์
                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอการแต่งตั้ง นายปวิช เฉลิมวัฒน์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (อ.ส.พ.) โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ 130,000 บาท ตามมติคณะกรรมการ อ.ส.พ. ครั้งที่ 5/2564 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 และ  ครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงาน ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
 
 
……………………………..


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.thaigov.go.th