วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ช็อกโกแลต

 


ใครจะไปคิดว่าขนมหวานแสนอร่อยอย่างช็อกโกแลต จะช่วยให้เรารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาได้ ซึ่งในปัจจุบันช็อกโกแลตมีวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าให้ได้เลือกซื้อกันอย่างจุใจ และก็มีหลากหลายยี่ห้อ ทำเอาบางครั้งที่นึกอยากจะทาช็อกโกแลตขึ้นมา พอไปเลือกซื้อก็ซื้อ ไม่ถูก เพราะไม่รู้จะซื้อยี่ห้อไหนดี แต่ละแบรนด์ก็ออกแบบทำแพ็คเกจจิ้งออกมาได้น่ารัก น่าซื้อ แต่จะว่าไปแล้วเราอย่าเพิ่งไปดูแค่รูปลักษณ์ภายนอกของช็อกโกแลตกันดีกว่าค่ะ จะทานช็อกโกแลตทั้งทีต้องดูให้ดีว่ามีดีอะไรอยู่บ้าง ถึงจะคุ้มกับเงิน และสุขภาพของเรา 

ยิ่งโดยเฉพาะคุณแม่ท้องที่ชอบทานช็อกโกแลตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะให้โบกมือบ๊าย บาย กับช็อกโกแลตก็น่าจะเป็นเรื่องยากอยู่ค่ะ แต่ถ้าทานมากเกินไป ไม่เบาหวานแทรกซ้อน ก็นํ้าตาลในเลือดสูง จนอาจเป็นอันตรายได้ฉะนั้นหากอยากทานช็อกโกแลต ก็ลองหาข้อมูลทางโภชนาการมาเปรียบเทียบดูซะหน่อยก็ดีนะคะ นักวิจัยจากภาควิชาระบาดวิทยาทีมหาวิทยาลัยไอโอวา วิทยาลัยการสาธารณสุข และจากศูนย์ปริกำเนิดกุมาร ระบาดวิทยาและสิ่งแวดล้อมที่มหาวิทยาลัยเยล ได้รวบรวมหญิงตั้งครรภ์ 2,567 ราย เพื่อทำการศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่ประมาณ 2,351 ราย มีการตั้งครรภ์เป็นปกติไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ ระหว่างตั้งครรภ์ และมีหญิงตั้งครรภ์จำนวน 158 รายที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ และอีก 58 รายซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะครรภ์เป็นพิษ (preeclampsia) ภาวะครรภ์เป็นพิษนี้เป็นภาวะที่หญิงตั้งครรภ์มีความดันโลหิตสูง และตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากสัปดาห์ที่ 20 ของการตั้งครรภ์ ภาวะครรภ์เป็นพิษสามารถนำ ไปสู่ปัญหาร้ายแรงสำหรับคุณแม่และลูกน้อย แต่กรณีของการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจากครรภ์เป็นพิษจะเกิดขึ้นได้น้อยลง หากมีการตรวจพบและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ในการศึกษาคุณแม่กลุ่มที่มีการตั้งครรภ์ปกติ มีการรับประทานช็อกโกแลตในระหว่างตั้งครรภ์มากกว่ากลุ่มอื่นๆ (80.7% หรือ สูงกว่า 5-5%) โดยใช้การเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม คือหญิงตั้งครรภ์ที่รับประทานช็อกโกแลตน้อยกว่า 1 หน่วยที่ให้บริโภคต่อสัปดาห์ การศึกษานี้ไม่ได้เป็นการศึกษาชิ้นแรกที่ได้รับผลในเชิงบวกสำ หรับการรับประทานช็อกโกแลตในระหว่างตั้งครรภ์ ดร.ลิซาเบธดับบลิว จากมหาวิทยาลัยเยลเคยดำเนินการศึกษาที่คล้ายกันในปี 2008 และพบความสำคัญกับการลดความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษpreeclampsia (อ้างอิงจากบทความนพ.ม.ร.ว.ทองทิศ ทองใหญ่) 

ประเภทและชนิดของช็อกโกแลต

- ช็อกโกแลตขาว (White Chocolate) ไม่มีส่วนผสมของโกโก้เหลว แต่ใช้ไขมันโกโก้ (โกโก้บัตเตอร์) แทน มีการเติมนํ้าตาลนมสด และกลิ่นวานิลลาลงไปด้วย

- ช็อกโกแลตนม (Milk Chocolateมีส่วนผสมทั้งจากโกโก้บัตเตอร์ นมไม่พร่องมันเนย

- แบบหวาน (Sweet Chocolate)ช็อกโกแลตชนิดนี้เพิ่มความหวานมากขึ้น 

ปริมาณความหวานในช็อกโกแลตสามารถแบ่งย่อยช็อกโกแลตได้อีก 3 ชนิด

- แบบไม่เพิ่มความหวาน (UnsweetenedChocolate) เป็นช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์ไม่มีการเติมความหวานใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้ได้รสชาติฝาดและขมของช็อกโกแลตเต็มๆ มักนำไปเป็นส่วนผสมหลักในการทำขนม

- แบบกึ่งหวาน (Semi-Sweet) ช็อกโกแลตเหลวกึ่งหวาน มีการเพิ่มความหวานและโกโก้บัตเตอร์ลงไปด้วย

- ช็อกโกแลตดำ (Dark Chocolate) มีปริมาณโกโก้เหลวสูงถึง 75% มีความหวานน้อยมาก

ช็อกโกแลตมีประโยชน์แค่ไหน?

- สารฟีนอลในช็อกโกแลตมีประโยชน์ต่อสุขภาพของหัวใจ ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น และช่วยป้องกันการอุดตันของลิ่มเลือด

- ช่วยให้การทำงานของเยื่อบุผิวดีขึ้น

- มีคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรตไขมัน วิตามินเอ ดี เค และธาตุเหล็ก

- คาเฟอีนในช็อกโกแลตช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า

- กระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินช่วยให้อารมณ์ดี ไม่หงุดหงิดและลดความเครียดลงได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.anmum.com

 

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ หรือแพ้อากาศ เป็นอะไรกันแน่?

 



ฤดูฝนเป็นฤดูที่ทำให้หลายคนรู้สึกไม่สบาย เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ มีไข้ เราจะทราบได้อย่างไรว่าอาการเหล่านี้เกิดจากไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคภูมิแพ้อากาศกันแน่? ในบางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะสามารถแยกโรคเหล่านี้ออกจากกันได้ด้วยตนเอง เนื่องจากลักษณะอาการบางอย่างที่ใกล้เคียงกัน แต่การรู้ถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละโรคจะสามารถช่วยให้เราเลือกการป้องกัน การรักษาและวิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้องได้

ความแตกต่างของสาเหตุการเกิด
          ไข้หวัดธรรมดา (Common cold) และ ไข้หวัดใหญ่ (Flu) ต่างก็เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส แต่แตกต่างกันที่ชนิดของไวรัส โดยไข้หวัดธรรมดานั้นเกิดได้จากไวรัสหลายสายพันธ์ แต่ประเภทที่มักก่อให้เกิดโรคนั้นคือ Rhinoviruses ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดไข้หวัดธรรมดาถึงร้อยละ 30-50 ตามมาด้วย Coronaviruses ที่เป็นสาเหตุร้อยละ 10-15 ส่วนไข้หวัดใหญ่นั้นเกิดจากไวรัส Influenza A และ Influenza B ซึ่งทั้ง 2 ชนิดมีหลายสายพันธุ์และแต่ละสายพันธุ์เกิดการระบาดต่างกันในแต่ละปี ในแต่ละภูมิภาคของโลก
          ในกรณีของการแพ้อากาศนั้น สาเหตุการเกิดจากโรคภูมิแพ้ซึ่งแตกต่างจากอีก 2 โรคที่ได้กล่าวมาข้างต้น เพราะไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส หากแต่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้ป่วยเอง ซึ่งทำงานตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นที่สามารถพบได้จากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เช่น ฝุ่น อากาศเย็น อากาศร้อน และละอองเกสร ซึ่งสิ่งกระตุ้นที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้นั้นก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน
ความแตกต่างของอาการ
          ในบางครั้งอาการแสดงทางจมูกและระบบทางเดินหายใจมีความใกล้เคียงกันทั้ง 3 โรค จึงทำให้แยกโรคออกจากกันโดยผู้ป่วยเองได้ค่อนข้างยาก เว้นแต่ได้รับการตรวจวินิจฉัยที่เด่นชัด อย่างไรก็ตามการสังเกตอาการที่เป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละโรคด้วยตนเอง เป็นการเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลรักษาตนเอง และทำให้เราสามารถไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงทีหากอาการของโรครุนแรงขึ้น โดยไข้หวัดธรรมดา มักจะมี (หรือไม่มี) ไข้ต่ำ ๆ ร่วมกับอาการทางจมูกและทางเดินหายใจ ได้แก่ อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล (ลักษณะน้ำมูกใสเป็นส่วนใหญ่) จาม เจ็บคอ คอแดง ทอนซิลอาจบวมแดงแต่ไม่พบจุดหนอง (จุดหนองมักพบในการติดเชื้อแบคทีเรีย) และไอ ส่วนอาการปวดหัวก็สามารถพบได้บ้าง และอาการโดยทั่วไปมักไม่รุนแรงและสามารถดีขึ้นและหายไปได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ไข้หวัดใหญ่สามารถเกิดอาการทางจมูกและคอได้บ้างในบางครั้ง แต่จะมีอาการเด่นชัด ได้แก่ มีไข้สูงลอย (37.8-39.0 องศาเซลเซียส) อาการปวดหัวและปวดเมื่อยตามตัว ร่วมกับอาการอ่อนเพลียอย่างมาก อีกทั้งยังพบอาการไอที่รุนแรงร่วมกับอาการเจ็บหน้าอกอีกด้วย
          ในส่วนของโรคภูมิแพ้หรือแพ้อากาศนั้นจะมีอาการใกล้เคียงกับไข้หวัดธรรมดามาก กล่าวคือมีอาการเด่นที่จมูก ได้แก่ อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล (ลักษณะน้ำมูกใส) คันจมูก จาม บางคนอาจมีอาการคันที่ตาและมีน้ำตามากร่วมด้วย แต่สามารถแยกจากโรคไข้หวัดธรรมดาได้จากระยะเวลาของการเกิดอาการ โดยโรคภูมิแพ้มักจะมีระยะเวลาในการเกิดที่นาน และจะไม่หายหากผู้ป่วยยังคงได้รับสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการอยู่ ในทางกลับกันไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่นั้นสามารถหายได้ในเวลาไม่นาน โดยทั่วไปมักไม่เกิน 2 สัปดาห์ เมื่อได้รับการดูแลหรือรักษาที่ถูกต้องและไม่มีอาการแทรกซ้อนอื่นใด
ความแตกต่างของการรักษา
          การรักษาไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่นั้น จะเน้นไปที่การรักษาตามอาการ ร่วมกับพักผ่อนและดื่มน้ำตามมากๆ และเนื่องจากทั้งสองโรคนั้นมีไวรัสเป็นเชื้อก่อโรค ดังนั้นการใช้ยาปฏิชีวนะจึงไม่มีความจำเป็น ในกรณีที่ผู้ป่วยมีไข้ สามารถให้ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล สำหรับการใช้ยาลดไข้กลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่
          สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti Inflammatory Drugs:-NSAIDs) เช่น แอสไพริน (aspirin) และ ไอบูโพเฟน (ibuprofen) โดยเฉพาะในผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ต้องได้รับการระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากอาการบางส่วนของโรคไข้หวัดใหญ่นั้นคล้ายคลึงกับโรคไข้เลือดออก ซึ่งยากลุ่มดังกล่าวสามารถทำให้โรคไข้เลือดออกอาการเลวลงได้ จึงควรใช้ก็ต่อเมื่อได้รับการวินิจฉัยยืนยันจากแพทย์หรือโรงพยาบาลแล้วเท่านั้น นอกจากนี้ผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการรุนแรง หรืออยู่ในช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยตัวโรคและสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ที่ก่อให้เกิดโรคอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งรับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลซึ่งอาจประกอบไปด้วยยาต้านไวรัส และได้รับคำแนะนำเรื่องการปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมหากทำการรักษาต่อที่บ้าน
          ในกรณีของโรคภูมิแพ้ก็จะใช้วิธีการรักษาตามอาการ เช่นการใช้ยาแก้แพ้กลุ่มที่ยับยั้งผลของฮีสตามีน (antihistamine) และการใช้ยาแก้คัดจมูก แต่วิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือการค้นหาและหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดการแพ้ หากมีอาการรุนแรงหรือรบกวนชีวิตประจำวัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก (Nasal steroid)



  

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.healthydee.moph.go.th/

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ต้นไม้ปลูกในห้องนอน

 


พืช CAM คายออกซิเจนตอนกลางคืน ปลูกได้ในห้องนอน

ในปัจจุบันคนเราต้องการใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น จึงเพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยการนำต้นไม้มาวางตกแต่งภายในบ้านเพื่อสร้างบรรยากาศการอยู่อาศัยที่สดชื่น  แต่เชื่อว่าหลาย ๆ คนมักจะได้ยินเสียงเตือนมาว่า “ไม่ควรปลูกต้นไม้ไว้ในห้องนอน” สาเหตุ เนื่องมาจาการคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  (CO2)  กล่าวคือในเวลากลางวันพืชจะเปิดปากใบดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และปลดปล่อยก๊าซออกซิเจนออกมาจากการกระบวนการสังเคราะห์แสง แต่ในทางตรงข้ามในเวลากลางคืนปากใบจะหรี่ลง และจะมีการคายก๊าซ COออกมาจากกระบวนการหายใจของพืช

กระบวนการนี้ทำให้เข้าใจว่าในห้องนอนมี COหมุนเวียนอยู่  หากนำต้นไม้วางในห้องนอนเท่ากับไปแย่งอากาศคนหายใจ เป็นการทำลายสุขภาพทางอ้อม ทำให้มีความไม่สบายใจที่จะปลูกต้นไม้ในห้องนอน ซึ่งเป็นความจริงแต่เป็นชุดความรู้ที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด

จากการศึกษาต้นไม้ในชุดความรู้ใหม่ทำให้ทราบว่าการปลูกต้นไม้ในห้องนั้นทำได้ บางงานวิจัยยังแนะให้ปลูกพืชในห้องนอนเพราะช่วยดูดซับสารพิษอีกด้วย เหตุผลรองรับคือ แม้ว่าต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปล่อยก๊าซ CO2  ได้ แต่ก๊าซ COที่ต้นไม้ปล่อยออกมาในกลางคืนนั้นมีปริมาณน้อยมาก ไม่ได้มากจนถึงขั้นไม่เหลือออกซิเจนให้เราหายใจ นอกจากจะเป็นห้องปิดตายและมีต้นไม้หนาแน่นมากๆ จึงแทบไม่มีผลชัดเจนอะไรต่อร่างกายคนเลย

แต่ถ้าใครยังกังวลเรื่องคาร์บอนไดออกไซด์จากพืชในช่วงกลางคืน ลองปลูกพืชบางชนิดอยู่ในจำพวก CAM Plant ที่จะเหมาะสำหรับคนรักต้นไม้แต่กลัวหายใจไม่ถนัดกันครับ

CAM Plant คืออะไรCrassulacean Acid Metabolism (CAM plant) เป็นพืชกลางคืนหรือพืชที่มีลําต้นอวบนํ้าที่จะสงวนรักษานํ้าไว้ใช้ในกระบวนต่าง ๆ มักพบว่าเจริญได้ในที่แห้งแล้ง ซึ่งในเวลากลางวันสภาพแวดล้อมจะมีความชื้นตํ่าและอุณหภูมิสูง พืชที่เจริญในพื้นที่แห้งแล้งจึงมีการปรับตัวเพื่อลดการสูญเสียนํ้าทางใบ โดยการลดรูปใบให้มีขนาดเล็กลงและปากใบปิดในเวลากลางวัน ในช่วงกลางคืนที่อุณหภูมิตํ่าและความชื้นสูง ปากใบพืชจะเปิดเพื่อรับก๊าซ CO แล้วตรึงก๊าซเข้ามาเปลี่ยนให้อยู่ในรูปกรดมาลิกและซิตริกโดยสะสมในเวคิลโอล

กล่าวโดยสรุปคือ พืชกลุ่มนี้จะปิดปากใบในเวลากลางวัน และเปิดปากใบดูดซับก๊าซ COและคายความชื้นกับออกซิเจนในเวลากลางคืน ซึ่งสลับขั้นตอนกับพืชทั่วไป ทั้งนี้ก๊าซ COในการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช CAM นั้นเกิดปริมาณน้อยมาก จึงทำให้สบายใจที่จะวางในห้องนอนได้

ชนิดพืช CAM Plant ที่ปลูกได้ในห้องนอน

กล้วยไม้หวาย (Dendrobium spp.)

เป็นกล้วยไม้ที่มีหลายสายพันธุ์ ทั้งสีดอกและลวดลายมีหลากหลายและสวยงาม ดูแลง่าย เมื่อดอกบานแล้วจะคงทนอยู่ได้นาน เหมาะสำหรับปลูกลงกระถางประดับภายในบ้าน หรือปลูกภายนอกอาคารเกาะกับต้นไม้ใหญ่เพื่อประดับสวน นอกจากความสวยแล้ว กล้วยไม้หวายยังมีความพิเศษ คือ รากอากาศจะดูดคาร์บอนไดออกไซด์และคายออกซิเจนในตอนกลางคืน แต่ในตอนกลางวันจะสลับกัน คือ ดูดออกซิเจน แต่คายคาร์บอนไดออกไซด์ จึงเหมาะที่จะปลูกในห้องนอน และยังมีคุณสมบัติในการดูดสารพิษ ประเภท แอลกอฮอล์ อาซีโตน คลอโรฟอร์ม และฟอร์มัลดิไฮด์ได้

ลิ้นมังกร (Sansevieria Trifasciata)

ต้นลิ้นมังกรมีลักษณะเป็นกาบ ใบแข็งรูปร่างเหมือนลิ้นงู ต้นสูงประมาณ 2-4 ฟุต ใบกว้างประมาณ 2 นิ้ว ปลูกง่ายสามารถอยู่และเติบโตได้หลายปีโดยไม่ต้องเปลี่ยนกระถาง ลิ้นมังกรเป็นพืชในกลุ่ม CAM Plant จะคาย O2 และดูด CO2 เวลากลางคืน จึงเหมาะจะนำมาตั้งไว้ในห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น ช่วยฟอกอากาศและเพิ่มปริมาณออกซิเจนในอาคาร และมีคุณสมบัติในการดูดซับสารพิษได้ทั้ง FM, TCE และเบนซีน ในระดับสูง

ว่านหางจระเข้ ( Aloe vera)

หนึ่งชนิดพืชอวบน้ำที่พบปลูกทั่วไปในบ้านเรา ว่านหางจระเข้นอกจากมีสรรพคุณเรื่องการลดบวม สมานแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว ยังเป็นพืช CAM ที่คายออกซิเจนตอนกลางคืน และมีคุณสมบัติในการดูดซับฟอร์มัลดีไฮด์ที่ความเข้มข้นต่ำได้ดี ปลูกเอาไว้ใช้ประโยชน์ได้หลากหลายในต้นเดียว

พืชกลุ่มพิเศษ เช่น พืชทะเลทราย

พืชในทะเลทราย ต่าง ๆ เช่น พืชวงศ์กุหลาบหิน (Crassulaceae) ต้นคลาสซูล่า (Crassula ovata หรือ Jade Plant) ชื่อไทยคือ ต้นไม้สวรรค์หรือต้นใบเงิน  พืชตระกูลแคคตัส (Cactaceae) หรือ กระบองเพชร  ต้น Tillandsia หรือพืชในตระกูลสับปะรด ซึ่งจัดอยู่ในพืชประเภท CAM Plants เหมือนกับพืชตระกูลแคคตัส คือ  พืชกลุ่มนี้อวบน้ำ เก็บน้ำไว้ได้ดี เนื่องจากนิเวศวิทย์ของพืชกลุ่มนี้จะประสบปัญหากับการขาดน้ำบ่อยๆ พืชจึงมีการปิดปากใบในเวลากลางวัน และเปิดปากใบในเวลากลางคืน เพื่อลดการศูนย์เสียน้ำออกไปกับการคายน้ำ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.banidea.com

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

อาหารแช่แข็ง ไม่ดีต่อสุขภาพจริงหรือ?

 

อาหารแช่แข็ง ไม่ดีต่อสุขภาพจริงหรือ?

เราคงเคยได้ยินคนพูดกันบ่อยๆ ว่า ควรทานผักหรือผลไม้ตามฤดูกาล เพราะเป็นผลไม้ที่มีการเพาะปลูกตามธรรมชาติ เก็บเกี่ยวกันตามฤดูกาลและราคาไมแพงอีกด้วย แต่ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ก็เปลี่ยนไป เริ่มที่จะนิยมทานอาหารของต่างประเทศกันมากขึ้น ซึ่งวัตถุดิบหรือผักผลไม้บางอย่างก็ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ ถ้าสังเกตุเห็นตามซุปเปอร์มาร์เก็ตจะพบว่า อาหารแช่แข็งหลากหลายชนิดถูกนำมาวางจำหน่ายมากขึ้นเรื่อยๆ และอาหารบางอย่างก็ผลิตขึ้นในประเทศไทยเรา 

คุณค่าทางโภชนาการของอาหารแช่แข็งยังคงครบถ้วนอยู่หรือไม่

อาหารที่ผ่านการแช่แข็งนั้นไม่ได้ทำให้คุณค่าทางอาหารลดน้อยลง ถ้าหากการแช่แข็งนั้นทำได้มาตราฐาน และบางครั้งผลไม้ที่ถูกแช่แข็งอย่างถูกวิธี คุณค่าทางอาหารของมันอาจจะมีมากกว่าผลไม้สดเสียอีก ผลไม้แช่แข็งส่วนใหญ่นั้นจะมีสารอาหารอยู่ค่อนข้างที่จะครบถ้วน เนื่องจะในขณะที่ผลไม้ถูกเก็บมาจากต้นนั้นเป็นช่วงที่ผลไม้สุกพอดีตามธรรมชาติ  

วิธีการแช่แข็งผลไม้ 

เพื่อเป็นการรักษาคุณค่าทางโภชนาการของผลไม้ หลังจากที่เก็บผลไม้ที่สุกพอเหมาะพอควรแล้วก็ ควรนำมาแช่แข็งทันที ซึ่งการนำผักและผลไม้มาแช่แข็งหลังจากเก็บผลไม้ภายใน 2-3 ชั่วโมงแล้วละก็ จะช่วยป้องกันการสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการของผลไม้ได้มาก ซึ่งการแช่แข็งอาหารหรือผลไม้นั้นก็เปรียมเสมือนเป็นอีกวิธีหนึ่งในการถนอมอาหาร โดยมีวิธีการทำอาหารแช่แข็งคือ การลดอุณหภูมิของอาหารหรือผลไม้ที่้ต้องการแช่แข็งได้อยู่ที่ -18 องศาเซลเซียส หรือว่าที่ 0 องศาฟาเรนไฮต์ที่ทำให้เช่นก็เพราะว่าเป็นการถนอมอาหารหรือทำให้อาหารนั้นคงความสดและรักษาคุณภาพของอาหารให้ยาวนานมากยิ่งขึ้น 

สำหรับอาหารที่ได้ผ่านกระบวนการแช่แข็งนั้นสามารถเก็บเอาไว้ได้นานกว่า 6 เดือนถึง 2 ปี และอีกขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้ขั้นตอนการแช่แข็งก็คือ ขั้นตอนการละลายน้ำแข็ง โดยวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการละลายอาหารแช่แข็งก็คือวิธีที่เร็วที่สุดนั่นเอง เพราะการละลายอาหารที่รวดเร็วนั้น จะทำให้อาหารแช่เย็นนั้นคือตัวและมีคุณภาพดี  

วิธีละลายอาหารแช่แข็ง 

มีหลากหลายวิธีที่สามารถละลายอาหารแช่แข็งได้รวดเร็วไม่ว่าจะเป็น การใช้เตาไมโครเวฟอุ่นหรือละลายอาหารแช่แข็งตามระยะเวลาที่ระบุไว้ข้างผลิตภัณฑ์นั้นๆ หรือจะละลายทิ้งไว้ล่วงหน้าในช่องแช่เย็นธรรมดาเพื่อที่จะทำให้อาหารนั้นละลายทั่วหมดทั้งชิ้น ก่อนที่จะนำอาหารแช่แข็งมาทำการปรุงอาหารก็ควรที่จะละลายอาหารนั้นๆ โดยการเปิดน้ำให้ไหลผ่านบรรจุภัณฑ์นั้นๆ ได้เช่นกัน

ไม่ควรเอาอาหารแช่แข็งมาแช่ไว้ในอ่างน้ำขัง และไม่ควรใช้น้ำร้อน น้ำอุ่นในการช่วยละลาย ไม่ควรจะละลายโดยการนำอาหารมาวางทิ้งไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิห้องเพราะนั่นจะทำให้เหล่าบรรดาเชื้อโรคและเชื้อแบคทีเรยทั้งหลายนั้นสามารถเจริญเติบโตได้รวดเร็วนั่นเอง และที่สำคัญที่สุดคือเมื่อนำอาหารแช่แข็งออกมาละลายแล้วไม่ควรที่จะนำกลับไปแช่แข็งอีก

สรุปได้ว่าอาหารแช่แข็ง หากถูกแช่แข็งด้วยวิธีที่ถูกต้องก็จะมีคุณค่าทางโภชนาการทางอาหารได้มากกว่าอาหารทั่วไป และการนำมารับประทานก็ควรที่จะใช้วิธีที่ถูกต้องในการละลายเพื่อให้ได้รสชาติและคุณค่าของอาหารยังคงอยู่เช่นเดิม


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.maanow.com 

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

อาหารเป็นพิษ ปัญหาสุขภาพในช่วงฤดูร้อน

 


อาหารเป็นพิษจากการกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อน อุณหภูมิสูง ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี ซึ่งหากเรารับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียก็จะทำให้เกิดอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาจมีไข้ รวมไปถึงอาการลำไส้อักเสบในบางรายได้ และอาจมีอาการปวดเมื่อยร่างกายร่วมด้วย ในช่วงฤดูร้อนจึงควรระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษเช่น อาหารทะเลปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ หรือไม่ผ่านการปรุงให้สุก อาหารที่มีการบีบมะนาว สีของเนื้อสัตว์ที่เปลี่ยนไปเพราะน้ำมะนาว ไม่ได้แปลว่าอาหารนั้นสุกจริง อาหารประเภทปรุงเสร็จแล้ว แต่ไม่ผ่านความร้อนก่อนบริโภค เช่น ยำ ส้มตำ สลัด ต้องเลือกที่สดใหม่และสะอาด อาหารที่กินไม่หมด หากต้องการเก็บไว้รับประทานในมื้อต่อไป ควรเก็บในตู้เย็น เมื่อจะรับประทานต้องอุ่นให้ร้อนจัดเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อ อาหารหรือขนมค้างคืนที่ผสมกะทิ เป็นต้น

          อาการโดยทั่วไป หากไม่รุนแรงมักจะหายได้เองภายใน 1-2 วัน บางชนิดอาจนานถึงสัปดาห์  สำหรับการดูแลตนเองเมื่อเกิดอาหารเป็นพิษ หากมีอาการท้องเดินทั่ว ๆ ไป ให้ดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ไม่ควรกินยาเพื่อให้หยุดถ่ายอุจจาระ เพราะการขับถ่ายคือกลไกธรรมชาติของร่างกายในการขับของเสีย ถ้าท้องเสียหรืออาเจียนมาก ปวดท้องรุนแรง หรือมีอาการทางระบบประสาท เช่น ชัก หมดสติ หรือสงสัยว่าอาจเกิดจากสารพิษอื่น ๆ และอาการไม่ทุเลาภายใน 2 วัน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อให้แพทย์ตรวจหาสาเหตุจากโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องให้การรักษาด้วยยาต่าง ๆ เพิ่มเติมโดยการป้องกันการเกิดอาหารเป็นพิษ มีข้อแนะนำในการปฏิบัติตัวในช่วงฤดูร้อน ดังนี้

          1. ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารหลังการขับถ่าย และหลังกิจกรรม

          2. ดื่มน้ำสะอาด

          3. กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่

          4. ผักสดและผลไม้ควรล้างให้สะอาดก่อนรับประทาน

          5. เนื้อสด ไม่ควรทิ้งไว้นอกตู้เย็นนาน ๆ เพราะอุณหภูมิที่ร้อนจะทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

          ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงสาเหตุที่อาจก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษ และดูแลตนเองด้วยการปฏิบัติตามข้อแนะนำดังกล่าว ก็จะช่วยลดปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.healthydee.moph.go.th/

 

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

โซฟา เลือกแบบไหนดี

 


โซฟาเลือกซื้อโซฟาอย่างไร ให้เหมาะสมใช้งานอย่างยาวนาน การเลือกโซฟามาใช้งาน จำเป็นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลัก 4 ส่วนด้วยกัน ดังนี้

1. ลักษณะการใช้งาน: เนื่องด้วยปัจจุบันโซฟามีให้เลือกหลายประเภท แต่ละประเภทออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่เหมาะสม เช่น โซฟาแบบ Sectional ออกแบบมาเพื่อการใช้งานอเนกประสงค์ รับแขกก็ได้ นั่งพักผ่อนดูทีวีก็สบาย มีขนาดใหญ่รองรับการใช้งานพร้อมกันได้หลายคน แต่ด้วยลักษณะการออกแบบที่มุ่งเน้นให้อารมณ์พักผ่อน จึงอาจไม่เหมาะกับมุมรับแขกที่เป็นทางการ เพราะจะส่งผลให้แขกผู้มาเยือนรู้สึกเกรงใจ ไม่เป็นส่วนตัวนัก รวมทั้งขนาดของโซฟา Sectional ปกติจะมีขนาดใหญ่มาก จึงไม่เหมาะสมกับห้องขนาดเล็ก การเลือกโซฟาจึงจำเป็นต้องดูลักษณะการใช้งานก่อนและพื้นที่จัดวางก่อน เพื่อที่จะได้โซฟาตามรูปทรงที่เหมาะกับการใช้งานและตำแหน่งในการจัดวางครับ

2. ขนาด: คงไม่ดีแน่หากสั่งซื้อโซฟามาแล้ว ไม่สามารถจัดวางลงตำแหน่งที่ต้องการได้ ก่อนจะเลือกซื้อโซฟา ผู้อ่านจำเป็นต้องวัดขนาดพื้นที่จัดวาง รวมทั้งเผื่อพื้นที่รอบข้างสำหรับเป็นทางเดิน  พื้นที่เปิดประตู และพื้นที่วางสิ่งของอื่น ๆ วิธีการที่ดีที่สุด คือการวาดแปลนภายในห้องลงกระดาษร่าง เพื่อที่จะได้มองเห็นแผนผังภายในห้องทั้งหมด หรือหากผู้อ่านท่านใดไม่อยากวาด ปัจจุบันมีแอพพลิเคชั่นมากมาย รองรับการใช้งานทั้งบนคอมพิวเตอร์และมือถือ

ระยะห่างที่ควรคำนึง

- พื้นที่ระหว่างประตู ควรเว้นห่างประมาณ 1 – 1.5 เมตร

- พื้นที่ทางเดิน ควรเว้นห่างประมาณ 1.5 – 2 เมตร

- ตำแหน่งที่จัดวาง ไม่ควรให้ตรงหน้าต่างมากเกินไป เพราะจะทำให้โซฟาเสื่อมสภาพเร็ว แต่ยังคงให้มีแสงสว่างเข้าถึง

กรณีที่นำโซฟามาใช้ร่วมกับมุมดูทีวี ควรกำหนดระยะห่างให้มีความสัมพันธ์กับขนาดของทีวี ดังภาพประกอบต่อไปนี้



3. Sofa Style: ประเภทของโซฟา บ่งบอกได้ถึงสไตล์ของบ้าน และลักษณะการใช้งาน โซฟาแต่ละประเภทออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกัน ห้องของเราจะเหมาะกับโซฟาประเภทไหนบ้าง มาทำความรู้จักกันครับ

- Tuxedo : ลักษณะโซฟาที่ให้ความรู้สึก เรียบเท่ อย่างคลาสสิค เหมาะกับการจัดวางไว้ห้องรับแขก หรือมุมนั่งเล่นของบ้านสไตล์โมเดิร์น ทรอปิคอล คลาสสิค เรโทร เป็นต้น

- Camelback : รูปทรงโซฟาคลาสสิค ให้ความรู้สึกโดดเด่นเป็นพิเศษ หากจัดวางเป็นเซ็ท นิยมให้ตัวดังกล่าวเป็นตัวหลัก เหมาะกับการตกแต่งร่วมกับบ้านสไตล์ Vintage , Cottage , Classic หรืออาจนำมาจัดวางเดี่ยว ในมุมใดมุมหนึ่งของบ้าน

- Loveseat : โซฟาที่ออกแบบมาเพื่องานสวีทโดยเฉพาะ ขนาดของโซฟาออกแบบมาให้นั่งใกล้ชิดกัน 2 คน จึงเหมาะกับคู่รัก อาจใช้สำหรับห้องที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง เช่น ห้องดูทีวี ห้องนั่งเล่นส่วนตัว เป็นต้น

- Longue : โซฟาอิงเอน โดยปกติด้านใดด้านหนึ่งจะมีพนักพิง เหมาะกับการใช้นอนอ่านหนังสือ นอนพักผ่อนช่วงกลางวัน นิยมใช้ผ้ากำมะหยี่มาหุ้ม เพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้เหมาะกับรูปทรงที่ดูเซ็กซี่ โดยปกติจะเป็นที่นิยมของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เหมาะกับการตกแต่งร่วมกับบ้านทุกสไตล์

- Sectional : โซฟาอเนกประสงค์ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เหมาะกับการจัดวางร่วมกับห้องนั่งเล่น ดูทีวี ห้องอ่านหนังสือ รูปทรงของโซฟามีให้เลือกหลายแบบ เช่น โซฟารูปทรงตัว L เหมาะกับการจัดวางเข้ามุม รูปทรงตัว U เหมาะกับการวางไว้ชิดผนัง รูปทรงกลม เหมาะกับการจัดวางไว้กลางห้อง หรืออาจจัดวางแยกส่วน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและขนาดของห้องนั้น ๆ

- Chesterfield : การออกแบบรูปทรงโค้งมน กับลวดลายของหมุดกระดุมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโซฟาสไตล์ดังกล่าว โดยส่วนมากนิยมหุ้มด้วยวัสดุหนัง เหมาะกับการตกแต่งร่วมกับบ้านสไคล์คลาสสิค คันทรี่ หรือจะนำมา Mix and Match กับสไตล์อื่น ๆ ก็ดูเก๋ไม่น้อยเลย

- โซฟาเบด : โซฟาที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานแบบมัลติฟังก์ชั่น เป็นได้ทั้งโซฟาและเตียงนอน เหมาะกับการจัดวางไว้ในห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องอ่านหนังสือ หรือมุมต่าง ๆ ตามความเหมาะสม โดยตัวโซฟาสามารถปรับระดับพนักพิงได้ ปรับขึ้นเมื่อต้องการใช้เป็นโซฟาและปรับลงไปทางด้านหลังเพื่อใช้เป็นที่นอน หลังจากปรับลงพนักพิงจะระนาบไปกับเบาะนั่งสามารถนอนได้ ซึ่งจะเหมาะกับห้องเล็ก ๆ ที่ต้องการประหยัดพื้นที่อีกด้วยครับ

4. วัสดุหุ้มโซฟา: โซฟาที่ดีมีคุณภาพ จำเป็นต้องใช้วัสดุที่ดีมาผลิต หากเป็นโครงสร้างภายใน โซฟาเกรด A นิยมใช้ไม้เนื้อแข็งที่ผ่านการทาน้ำยากันปลวกแล้ว รองลงมาเป็นไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้ยางพาราหรืออาจใช้วัสดุเหล็กมาทดแทนไม้ได้เช่นกัน ในส่วนโครงสร้างภายในนั้น ผู้ซื้ออาจตรวจดูได้ยากโดยปกติจึงนิยมเลือกเพียงวัสดุหุ้มภายนอก ซึ่งจะแยกได้หลากหลายวัสดุ ดังนี้

หนังสัตว์ : โซฟาหนังแท้ ให้ผิวสัมผัสที่นิ่มสบาย ยิ่งเก่ายิ่งนิ่ม คุณสมบัติของหนังสัตว์ ให้ความทนทาน ระบายอากาศได้ดี ส่งผลให้ผู้ใช้งานนั่งสบาย ไม่ร้อน ดูแลรักษาได้ง่าย มีทั้งแบบฟอกสีและไม่ฟอกสี โดยปกติโซฟาหนังแท้จะมีราคาสูงกว่าหนังเทียมประมาณ 30%

หนังเทียม : โซฟาหนังเทียมผลิตจาก PVC หรือเส้นใยสังเคราะห์ มีจุดเด่นที่สามารถสร้างลวดลายและสีสันได้หลากหลาย ราคาถูกกว่าหนังแท้ เหมาะกับการใช้งานในบ้านที่มีเด็กเล็ก หรือพื้นที่ที่ง่ายต่อการสกปรก ด้านความคงทน หนังเทียมทนน้อยกว่าหนังแท้

ผ้า : วัสดุที่ให้ผิวสัมผัสอ่อนนุ่ม มีสีสันลวดลายให้เลือกมากกว่าหนัง ปัจจุบันผ้ามีให้เลือกหลายชนิด ทั้งแบบใยธรรมชาติและใยสังเคราะห์ โดยรวมแล้วหากเป็นใยธรรมชาติ จะช่วยระบายความร้อนได้ดี ทนทาน แต่มีข้อเสียด้านการหดตัว กักเก็บฝุ่น ผู้ใช้จำเป็นต้องดูดฝุ่นหรือซักแห้งอยู่เสมอ ผ้าใยธรรมชาติที่นิยมใช้กัน เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์

ผ้าใยสังเคราะห์ แม้จะให้ผิวสัมผัสที่ไม่อ่อนนุ่มเท่าผ้าใยธรรมชาติ แต่ก็ช่วยแก้ปัญหาข้อเสียต่าง ๆ ออกไป โดยจะให้ความคงทน คงตัวได้ดี ไม่ยับง่าย มีสีสันให้เลือกเยอะกว่าผ้าใยธรรมชาติ การดูแลรักษาจะง่ายกว่า

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.www.banidea.com

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

การดื่มกาแฟกับสุขภาพ

 


กาแฟ (coffee) เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และได้เข้ามามีบทบาทหรือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของใครหลายๆ คน นั่นเป็นเพราะว่า หลังจากดื่มกาแฟแล้ว จะทำให้เกิดความรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และช่วยทำให้หายง่วงซึมในขณะที่เรียนหรือทำงาน อีกทั้งยังมีรูปแบบในการนำเสนอหรือวิธีการชงเพื่อให้ได้รสชาติที่หลากหลาย และผลจากการตระหนักถึงสุขภาพของมนุษย์เราที่มีมากขึ้น จึงได้มีการศึกษาทางระบาดวิทยาจำนวนมากเพื่อหาความสัมพันธ์ของพฤติกรรมการดื่มกาแฟกับผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ความเสื่อมของระบบประสาท การเสื่อมของกระดูก อันตรกิริยาต่อยาแผนปัจจุบัน และความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ เป็นต้น
จากการรวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพฤติกรรมการดื่มกาแฟต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่าผลงานวิจัยส่วนใหญ่ให้ผลเชิงบวกคือมีแนวโน้มลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน (1-7)
 โดยสันนิษฐานว่าเป็นผลมาจากสารสำคัญในเมล็ดกาแฟที่ชื่อว่า กรดคลอโรจีนิก (chlorogenic acid) (8) ส่วนการศึกษาถึงความสัมพันธ์ของการดื่มกาแฟกับโรคที่เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาทซึ่งได้แก่ โรคพาร์คินสันและโรค อัลไซเมอร์พบว่า การดื่มกาแฟมีแนวโน้มช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์คินสันในเพศชาย (9) และผู้ที่ดื่มกาแฟตั้งแต่มีอายุอยู่ในช่วงวัยกลางคนมีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมเมื่อมีอายุย่างเข้าสู่วัยสูงอายุน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟเลย (10) และในการศึกษาความสัมพันธ์ของดื่มกาแฟกับภาวะความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ได้แก่ มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (11-13) มะเร็งเต้านม (14-15) มะเร็งรังไข่ (16-17) และมะเร็งตับ (18-19) มีทั้งผลเชิงบวกคือมีแนวโน้มลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง และไม่มีความสัมพันธ์ทางสถิติต่อการเกิดโรค จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการดื่มกาแฟจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งดังกล่าวได้ นอกจากนี้ผลจากการศึกษาความสัมพันธ์ของการดื่มกาแฟกับการสะสมและการเสื่อมของกระดูกพบว่า การดื่มกาแฟไม่เกินวันละ 3 ถ้วย (ได้รับคาเฟอีนไม่เกิน 300 มก.) ต่อวัน อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุนและกระดูกสะโพกหักได้ 
ผลการวิจัยเกี่ยวกับการดื่มกาแฟกับสุขภาพที่รวบรวมได้ทั้งหมดเป็นผลการสำรวจข้อมูลจากต่างประเทศ ซึ่งผลการศึกษาที่ได้จะต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ แม้ว่าเป็นโรคชนิดเดียวกัน นั่นเป็นเพราะว่า พฤติกรรมหรือวิธีการเตรียมกาแฟเพื่อดื่มในแต่ละท้องที่มีความนิยมที่แตกต่างกัน และสายพันธุ์กาแฟในแต่ละพื้นที่ก็มีผลต่อปริมาณสารสำคัญในเมล็ดกาแฟอีกด้วย ดังนั้นในการดื่มกาแฟเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ จึงมักอ้างอิงปริมาณสารออกฤทธิ์ที่สำคัญในเมล็ดกาแฟ ซึ่งก็คือคาเฟอีนมาเป็นตัวกำหนดปริมาณการดื่มกาแฟหรือแม้แต่เครื่องดื่มชนิดอื่นๆ ที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ ซึ่งขนาดที่แนะนำคือ ไม่ควรเกินวันละ 300 มก. หรือเท่ากับกาแฟประมาณ 1-2 ถ้วย (ปริมาณกาแฟ 1 ถ้วยเท่ากับ 150 มล. และมีคาเฟอีนเฉลี่ย 115 มก.ต่อถ้วย)

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.pharmacy.mahidol.ac.th

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

กะเพรา สมุนไพรใกล้ตัว

    


    กะเพราเป็นอาหารที่หลายๆคนเรียกว่า "อาหารสิ้นคิด" แต่ใครจะรู้ว่าใบกะเพราะที่อยู่ในจาน “อาหารสิ้นคิด “ ประโยชน์จะมีมากกว่าที่คิด

กะเพรามีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ กะเพราแดงและกะเพราขาว โดยกะเพราแดงจะมีฤทธิ์ที่แรงกว่ากะเพราขาว ใบกะเพรามีกลิ่นรสฉุนพิเศษ เนื่องมาจากมีสารเซสควิเทอร์พีน ชื่อบีตาคาร์โยฟิลลีน (ß-caryophyllene) ร้อยละ 30 และบีตาเอลิมีน (ß-elemene) เรานิยมนำใบกะเพรามาประกอบอาหาร เนื่องจากใบกะเพราให้คุณค่าทางสารอาหารมากมาย เพียงแค่ใบกะเพราประมาณ 100 กรัม ก็มีสารเบต้าแคโรทีนสูงถึง 7,857 ไมโครกรัม ซึ่งcaที่มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงสายตาและป้องกันอาการสายตาเสื่อม และยังมีธาตุเหล็ก แคลเซียม และฟอสฟอรัสอีกด้วย

กะเพรา ชื่อวิทยาศาสตร์ Ocimum tenuiflorum L. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Ocimum sanctum L.) จัดอยู่ในวงศ์กะเพรา (LAMIAcEAE หรือ LABIATAE) กะเพรา มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น เช่น กอมก้อ กอมก้อดง (เชียงใหม่), ห่อกวอซู ห่อตูปลู อิ่มคิมหลำ (แม่ฮ่องสอน), กะเพราขน กะเพราขาว กะเพราแดง (ภาคกลาง), อีตู่ไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เป็นต้น

ลักษณะของกะเพราขาวมีลำต้นสีเขียวอมขาว และยอดอ่อนมีขนสีขาว มีใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียวรูปรีออกตรงข้ามกัน ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบแหลม ขอบใบเป็นจักฟันเลื่อยและเป็นคลื่น แผ่นใบมีขนสีขาว ส่วนดอกกะเพราจะออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกสีขาวแกมม่วงแดงมีจำนวนมาก

ประโยชน์ของกะเพรา

1.       ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ป้องกันอาการหวัด

2.       แก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน

3.       ช่วยขับลมในกระเพาะ แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง

4.       ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค และช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดได้

5.       ช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ในเมนูกะเพรา เช่น ผัดกะเพรา แกงเขียวหวาน แกงเลียง แกงป่า แกงคั่ว

6.       ช่วยลดระดับไขมันในร่างกาย และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด จึงช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้

7.       ช่วยแก้อาการปวดด้วยการใช้ใบกะเพรานำมาคั้นรับประทานสด 1 ถ้วยตะไล จะช่วยแก้อาการปวดมวนท้องได้เป็นอย่างดี

8.       ช่วยบำรุงธาตุไฟ

กะเพราป้องกันมะเร็งได้อย่างไร

มีงานวิจัยพบว่า สารสกัดจากกะเพราสามารช่วยยับยั้งสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่มักพบเจือปนในอาหารซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งได้ ช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด และลดอาการกรดไหลย้อนได้ดี ซึ่งกรดไหลย้อนก็เป็นอีกสาเหตุที่นำไปสู่โรคมะเร็งหลอดอาหารได้ โดยใบกะเพราะจะช่วยลดการหลั่งกรด และป้องกันการทำลายของเยื่อบุในกระเพาะอาหาร สำหรับสรรพคุณข้างต้น เราจะนิยมนำใบกะเพรามาทำเป็นน้ำกะเพราเพื่อดื่มป้องกันและลดอาการดังกล่าว
ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งช่องปาก โดยนำเอาสารสกัดทั้งชนิดน้ำและผงจากใบกะเพราเข้มและกะเพราอ่อนมาทดลองกับเซลล์มะเร็งช่องปาก พร้อมทั้งวัดผล พบว่าสารสกัดจากใบกะเพราทั้ง 2 ชนิดมีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งช่องปาก วันนี้นำสูตรทำชากะเพรามาทำไว้ดื่มป้องกันมะเร็งกัน

สูตรชากะเพรา

เทน้ำเดือดในถ้วยชาที่ใส่ใบกะเพราสด 4-6 ใบ ทิ้งไว้ 2-5 นาที ถ้าทิ้งไว้ถึง 5 นาทีจะได้ชาแก่ที่มีสรรพคุณเข้มข้นกว่า) เติมสารให้ความหวานจากธรรมชาติ หรือเติมนมตามต้องการ ใส่น้ำแข็งถ้าต้องการเป็นชาเย็น ประดับด้วยใบสะระแหน่เพิ่มกลิ่นหอม ถ้าใส่น้ำแข็งให้เพิ่มใบกะเพราเป็น 2 เท่าเพื่อให้น้ำเข้มข้นขึ้น ชากะเพรานี้ทำให้กระชุ่มกระชวยและคลายเครียดอีกด้วย ( หากใครที่เลี่ยงความหวาน ไม่ต้องเติมสารให้ความหวานหรือนมก็ได้) ทราบสรรพคุณของกะเพราะแบบนี้แล้ว ใครที่เคยเขี่ยไม่รับประทานกะเพราเวลาสั่งอาหารคงเปลี่ยนใจแล้วนะ

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.healthcoachnatalie.com