วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

 


สธ. ยืนยันไม่ยกเลิก HI/CI แต่เพิ่มบริการดูแลผู้ป่วยโควิดแบบผู้ป่วยนอก เริ่มให้บริการ 1 มี.ค. 65

นายวีระชัย นาคมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แจง การดูแลผู้ติดเชื้อโควิดแบบผู้ป่วยนอก ที่จะเริ่ม 1 มีนาคมนี้ เป็นการจัดบริการเพิ่มจากระบบปกติ

ไม่ได้ยกเลิกการดูแลแบบ HI/CI ได้เร่งหารือ 3 ราชวิทยาลัยแพทย์วางหลักเกณฑ์ขั้นตอนการรับบริการ ยืนยันดูแลแบบผู้ป่วยนอกได้ เนื่องจากโอมิครอน 90% ไม่มีอาการหรืออาการน้อย และเป็นการเตรียมพร้อมเข้าสู่โรคประจำถิ่นในอนาคต

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการเพิ่มระบบการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 แบบผู้ป่วยนอก ที่จะเริ่มวันที่ 1 มีนาคม 2565 ว่า การดูแลผู้ติดเชื้อโควิดแบบผู้ป่วยนอกเป็นบริการเพิ่มเติมจากระบบปกติ ไม่ได้มีการยกเลิกระบบการดูแลรักษาที่บ้านหรือชุมชน (HI/CI) ดังนั้น หากผลตรวจหาเชื้อเป็นบวกยังสามารถติดต่อเข้าระบบ HI/CI ได้ตามปกติ แต่ที่เพิ่มการดูแลแบบผู้ป่วยนอก เพื่อรองรับกรณียังเข้าระบบ HI/CI ไม่ได้

หรือยังไม่ได้รับการติดต่อ เป็นทางเลือกให้สามารถไปรับบริการที่คลินิกโรคทางเดินหายใจ (ARI Clinic) ในลักษณะผู้ป่วยนอกได้ ซึ่งจะทำให้ได้รับการตรวจวินิจฉัย จ่ายยารักษาตามระดับอาการอย่างเหมาะสม

และให้คำแนะนำในการกลับไปแยกกักรักษาที่บ้าน ซึ่งรายละเอียด ขั้นตอน และหลักเกณฑ์ต่างๆ อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับราชวิทยาลัยแพทย์ 3 แห่ง คือ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย และราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย

การไปรับบริการแบบผู้ป่วยนอกโควิดวันที่ 1 มีนาคมนี้ เบื้องต้นสามารถไปรับบริการได้ทุกที่ เนื่องจากยังคงประกาศให้โรคโควิด 19 เป็นโรคฉุกเฉินภายใต้สิทธิ UCEP COVID อย่างไรก็ตาม จะมีการหารือกับกองทุนสุขภาพแต่ละกองทุนถึงแนวทางการเบิกจ่ายค่าบริการโควิด 19 แบบผู้ป่วยนอกให้เหมาะสมต่อไป” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว

  ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

 


ดีอีเอส ! เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมไปรษณีย์ไทย ใช้เบอร์ 0833377992 และ 0684101248 แจ้งลูกค้าว่าพัสดุมีปัญหา ชี้เบอร์ดังกล่าวเป็นมิจฉาชีพ เพื่อหลอกลูกค้า

นางสาวนพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง (ดีอีเอส) กล่าวว่า ตามที่มีการส่งต่อข้อความบนสื่อออนไลน์เกี่ยวกับประเด็นไปรษณีย์ไทย ใช้เบอร์ 0833377992 และ 0684101248 แจ้งลูกค้าว่าพัสดุมีปัญหาทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ ซึ่งเบอร์ดังกล่าวเป็นมิจฉาชีพ เพื่อหลอกลูกค้าว่าพัสดุมีปัญหา ทางไปรษณีย์ไทยไม่มีนโยบายโทรติดต่อลูกค้าเพื่อแจ้งว่าพัสดุมีปัญหาตามที่กล่าวอ้าง

ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และอย่าให้ข้อมูลส่วนบุคคลหรือหลงเชื่อโอนเงินเป็นอันขาด หากประชาชนต้องการสอบถามข้อมูล หรือติดตามสถานะพัสดุ และรับข้อมูลข่าวสารจาก บริษัท ไปรษณีย์ไทย


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

 

 


สธ. เปิดบริการ “เจอ แจก จบ” แจกยา 3 สูตรให้ผู้ติดโควิดแบบผู้ป่วยนอก

เริ่ม 1 มี.ค. 65

นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมแผนการบริหารจัดการให้โรคโควิด 19 ออกจากการเป็นโรคระบาดไปสู่การเป็นโรคติดต่อทั่วไปหรือโรคประจำถิ่น คือการที่โรคลดความรุนแรงลง ไม่มีภาวะอันตรายมาก มีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันประชาชนมีภูมิต้านทานมากเพียงพอ จะใช้เวลาประมาณ 4 เดือนจากนี้ โดยได้จัดระบบบริการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เพิ่มการดูแลในระบบผู้ป่วยนอก ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล “เจอ แจก จบ” โดยทำการตรวจผู้ที่สงสัยป่วยโควิด 19 ด้วยชุดตรวจ ATK หากพบผลเป็นบวก แพทย์จะพิจารณาจ่ายยารักษาตามอาการ 3 สูตร ได้แก่ 1.ยาฟาวิพิราเวียร์ 2.ยาฟ้าทะลายโจร 3.ยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ แก้ไอ ลดน้ำมูก เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ติดเชื้อในการเข้าถึงบริการ และเป็นการเชื่อมโยงเข้าสู่การเป็นโรคที่ดูแลได้ด้วยตนเอง คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในวันที่ 1 มีนาคม นี้

 

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

 


กฟภ. พระนครศรีอยุธยา แจ้งดับกระแสไฟฟ้าเพื่อปรับปรุงระบบจำหน่าย บริเวณหน้าศูนย์ราชการจังหวัดฯ 27 ก.พ. นี้

ด้วยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แจ้งว่า เสาไฟฟ้าระบบสายส่ง 115 KV ชำรุดบริเวณหน้าศูนย์ราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ดังนั้น จึงขอดับกระแสไฟฟ้าระบบจำหน่าย 22 KV ที่จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อทำการสับเปลี่ยนเสาไฟฟ้า

ในวันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2565 ตั้ง

  ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

 


รมต.อนุชา แนะหน่วยงานราชการนำระบบดิจิทัลมาใช้พัฒนาศูนย์ราชการสะดวก ตอบโจทย์บริการประชาชนฉับไว

วันนี้ (25 กุมภาพันธ์ 2565) เวลา 10.00 น. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจาก นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวก ครั้งที่ 1/2565 โดยการประชุมทางไกลผ่านทางจอภาพ (Video Conference) โดยมี นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการ เข้าร่วม

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนหนึ่งของการสร้างแรงจูงใจในการดำเนินงานของข้าราชการ คือ การกำหนดรางวัลและการรับรองมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก หรือ GECC เพื่อช่วยดึงประสิทธิภาพของข้าราชการมาใช้อย่างเต็มศักยภาพ และสร้างขวัญและกำลังใจให้พี่น้องราชการมีแรงจูงใจในการทำงาน เพื่อรับใช้ประเทศชาติและประชาชนได้อย่างเต็มความสามารถ พร้อมกับขอให้ส่วนราชการประสานความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ในการนำร่องระบบบริการประชาชนได้ฉับไว ช่วยลดระยะเวลาในการมาติดต่อราชการ สร้างความพึงพอใจแก่ประชาชน โดยเพิ่มช่องทางบริการผ่านระบบออนไลน์ ช่วยลดความเสี่ยงการระบาดของเชื้อโรค และลดค่าใช้จ่ายของประชาชนในการเดินทางมาใช้บริการ

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจประเมินมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก จำนวน 10 คณะ ประจำปี พ.ศ. 2565 และแนวทางการตรวจประเมินมาตรฐานของคณะอนุกรรมการฯ จำนวน 10 คณะ เพื่อสนับสนุนภารกิจของคณะกรรมการฯ ในการตรวจประเมินมาตรฐานหน่วยงานที่สมัครขอรับการรับรองมาตรฐาน GECC และตรวจประเมินการรักษามาตรฐานของหน่วยงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GECC ตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินที่คณะกรรมการฯ กำหนดตามพื้นที่จังหวัดที่ตรวจประเมิน พร้อมนี้ ที่ประชุมได้มีการรายงานผลการตรวจประเมินการรักษามาตรฐานหน่วยงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก ประจำปี พ.ศ. 2562-2563 จำนวน 313 ศูนย์ โดยใช้การตรวจประเมินจุดให้บริการหรือข้อมูลที่สามารถเห็นเป็นประจักษ์ (Surprise Check) ได้แก่ งานบริการ การจัดเตรียมวัสดุ/อุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ระบบการประเมินความพึงพอใจ คุณภาพบริการ การจัดการเรื่องร้องเรียน และการพัฒนาที่เพิ่มขึ้นจากเดิมและเป็นเรื่องใหม่ เป็นต้น

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือแนวทางการสร้างแรงจูงใจในการขอรับการรับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก ที่ไม่ใช่เงินรางวัล ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลจากเจ้าหน้าที่รัฐที่ตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น จำนวน 1,321 คน พบว่าสิ่งจูงใจที่ข้าราชการอยากได้รับเป็นรางวัล มี 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านความสำเร็จของงาน ด้านเงินเดือนและสวัสดิการ ด้านการยอมรับนับถือ ด้านความก้าวหน้า และด้านอื่น ๆ ตามลำดับ

  ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

 

สำนักแผนงาน กรมทางหลวง ประชุมสรุปผลการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายวงแหวนรอบนอก กทม. ด้านตะวันตก (บางขุนเทียน - บางปะอิน) รวมถนนเชื่อมต่อวงแหวนรอบนอกด้านตะวันตกและด้านตะวันออก และทางขนานสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา

นายปิยพงษ์ จิวัฒนกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักแผนงาน เปิดเผยว่า ตามที่กรมทางหลวง ได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ประกอบด้วย บริษัท เทสโก้ จำกัด และบริษัท ธรรมชาติ คอนซัลแตนท์ จำกัด ให้ดำเนินการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายวงแหวนรอบนอก กทม. ด้านตะวันตก (บางขุนเทียน - บางปะอิน) รวมถนนเชื่อมต่อวงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก และด้านตะวันออก และทางขนานสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา นั้น

ในการดำเนินงานโครงการดังกล่าว กรมทางหลวง ได้เล็งเห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ อันจะเอื้อประโยชน์สูงสุดในการศึกษาฯ จึงได้กำหนดให้มีการประชุมสรุปผล

การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อสรุปผลการศึกษาทั้งหมด ทั้งรายละเอียดโครงการ ผลกระทบสิ่งแวดล้อมมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลการดำเนินงานด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ผ่านมา ให้กลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ ตลอดจนรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับผลการศึกษาด้านต่าง ๆ จากกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปพิจารณาประกอบการศึกษา ในวันพุธที่ ๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๕ เวลา ๑๔.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. ณ หอประชุมอำเภอบางปะอิน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

  ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ผู้เชิญภัตตาหาร และสิ่งของพระราชทานถวายแด่พระภิกษุ สามเณร ผู้เข้าสอบบาลีสนามหลวงครั้งที่ ๑ ครั้งหลัง ปี พ.ศ. ๒๕๖๕ จ.พระนครศรีอยุธยา

นายประดับ โพธิกาญจนวัตร ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ปฏิบัติราชการแทน ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เผยว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแจ้งว่า สำนักงานแม่กองบาลีสนามหลวง ได้กำหนดจัดสอบบาลีสนามหลวง ครั้งที่ 1 ครั้งหลัง ปี พ.ศ. 2565 ชั้นประโยค 1 - 2 ถึง ประโยค ป.ธ.5 ในวันที่ 26 - 28 กุมภาพันธ์ 2565 (ตรงกับวันเสาร์ - อาทิตย์ - จันทร์) และสำนักพระราชวัง ได้แจ้งประสาน

กองบาลีสนามหลวง และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ผู้เชิญภัตตาหาร และสิ่งของพระราชทานถวายแด่พระภิกษุ สามเณร ผู้เข้าสอบบาลีสนามหลวง และกรรมการกำกับห้องสอบ

ทั้งนี้ คณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีสนามสอบบาลีสนามหลวง ครั้งที่ 1 ครั้งหลัง ปี พ.ศ. 2565 จำนวน 2 แห่ง คือ สนามสอบวัดพนัญเชิงวรวิหาร มีพระภิกษุ สามเณร ผู้เข้าสอบบาลีสนามหลวง จำนวน 196 รูป และกรรมการกำกับห้องสอบ จำนวน 24 รูป รวมทั้งสิ้น 220 รูป

และสนามสอบวัดชูจิตธรรมาราม(ธ) มีพระภิกษุ สามเณร ผู้เข้าสอบบาลีสนามหลวง จำนวน 335 รูป และกรรมการกำกับห้องสอบ จำนวน 36 รูป รวมทั้งสิ้น 371 รูป ซึ่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะจัดพิธีถวายภัตตาหาร และสิ่งของพระราชทานฯ แด่พระภิกษุ สามเณร ในการสอบบาลีสนามหลวง ในวันที่ 26-28 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 10.00 น. โดยดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19

  ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/


 


ปภ. แนะวิธีป้องกันเพลิงไหม้รับมือได้ทัน

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แนะนำวิธีป้องกันเพลิงไหม้รับมือได้ทัน โดยดำเนินการสร้างการรับรู้ข้อควรปฏิบัติในป้องกันเพลิงไหม้บ้านเรือน ผ่านกลไกของฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ

ประชาชนจิตอาสา รวมถึงช่องทางการสื่อสารทุกรูปแบบ เนื่องจากเพลิงไหม้เป็นภัยที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยครั้งโดยเฉพาะฤดูหนาวต่อเนื่องช่วงฤดูร้อน ซึ่งมีสภาพอากาศแห้งและลมพัดแรงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เพลิงไหม้

ลุกลามขยายวงกว้าง การสร้างการับรู้เกี่ยวกับวิธีป้องกันเพลิงไหม้ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ได้ซึ่งมีวิธีการ ดังนี้

1. เพิ่มความระมัดระวังเมื่อประกอบกิจกรรมเกี่ยวกับไฟ ไม่จุดยากันยุงหรือธูปเทียนทิ้งไว้โดยไม่มีคนดูแล ดับไฟบุหรี่ให้สนิทก่อนทิ้ง

2. ใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างถูกวิธี ไม่ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าติดต่อกันเป็นเวลานาน ไม่เสียบปลั๊กไฟหลายอันกับเต้าเสียบอันเดียวกัน

3. ใช้ก๊าซหุงต้มด้วยความระมัดระวัง เช็คถังก๊าซ วาล์วถังก๊าซ และสายนำก๊าซว่าไม่มีรอยรั่วและปิดวาล์วถังก๊าซทุกครั้งหลังใช้งาน

4. ตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพใช้งานได้อย่างปลอดภัย โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำ หรือมีมอเตอร์เป็นส่วนประกอบ เพราะเสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร และเพลิงไหม้ได้

5. ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน เลือกใช้สายไฟที่มีขนาดเหมาะสมกับปริมาณกระแสไฟฟ้าไม่น้ำเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ชำรุดมาใช้งาน

6. ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันและระงับเหตุเพลิงไหม้ อาทิ ถังดับเพลิง เครื่องตรวจจับควันไฟสัญญาณเตือนไฟไหม้ และเบรกเกอร์ตัดไฟอัตโนมัติ

ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัย ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือแจ้งเหตุสาธารณภัยต่าง ๆ สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนนิรภัย โทร. 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

 

 


กระทรวงการต่างประเทศ เตือนคนไทย ระวังถูกหลอกไปทำงานในประเทศกัมพูชา หลังพบแนวโน้มการขอความช่วยเหลือเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง

นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2564 ถึงปัจจุบัน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ได้รับคำร้องขอความช่วยเหลือจากคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานในกัมพูชาแล้วประมาณ 1,500 คน ใน 3 เมืองใหญ่ของกัมพูชา ได้แก่ จังหวัดพระสีหนุ กรุงพนมเปญ และปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย รวมทั้ง มีแนวโน้มขยายไปบริเวณชายแดนเวียดนาม ซึ่งทางสถานทูตฯ ให้การช่วยเหลือส่งกลับประเทศไทยแล้วกว่า 1,200 คน แต่พบว่าแนวโน้มยังไม่ลดลง

จากข้อมูลคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงาน ระบุว่า ถูกหลอกผ่านนายหน้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ให้ไปทำหน้าที่แอดมิน คอลเซ็นเตอร์ ล่อลวงให้เหยื่อลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ หากทำงานไม่ได้ตามเป้าหมาย ก็จะถูกขายทอดตลาดไปยังนายจ้างกลุ่มอื่น ซึ่งเข้าข่ายการค้ามนุษย์ หากต้องการหนีก็จะถูกทำร้ายร่างกาย จึงขอย้ำว่า ไม่ให้หลงเชื่อคำกล่าวอ้างต่าง ๆ ไปทำงานผิดกฎหมาย เพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อการถูกหลอก ถูกทำร้ายร่างกายแล้ว ยังมีโทษในคดีอาญาของทั้งสองประเทศ

จากข้อมูลยังอีกพบว่า กลุ่มเป้าหมายที่ถูกหลอกส่วนใหญ่ เป็นคนไทยในวัยทำงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ผ่านมาทางสถานทูตฯ ได้ช่วยเหลือและแจ้งความกับตำรวจกัมพูชา รวมทั้งติดตามให้คำแนะนำแก่ญาติของผู้เสียหาย โดยจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน เพื่อดำเนินการต่าง ๆ ก่อนช่วยเหลือส่งกลับได้


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

 

 


5 เครื่องดื่มที่ไม่ควรดื่มพร้อมยา

กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แจ้งเตือนประชาชนกรณีเครื่องดื่มที่ไม่ควรดื่มพร้อมยา ดังนี้

1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลเสียต่อตับอย่างรุนแรงและอาจส่งผลต่อปริมาณยาที่ร่างกายได้รับ เช่น เกิดพิษจากยาหรือเกิดผลข้างเคียง ต่าง ๆ ได้

2. นม แคลเซียมยับยั้งการดูดซึมของยาบางชนิดได้

3. ชาและกาแฟ ทำให้อาการใจสั่นรุนแรงมากขึ้น อาจทำให้ได้รับคาเฟอีนที่เกินขนาด ส่งผลเสียตามมา มีผลต่อปริมาณยาที่ได้รับหรือเกิดพิษจากยาได้

4. น้ำอัดลม อาจกัดกระเพาะเนื่องจากความเป็นกรดในกระเพาะสูงขึ้น และมีผลต่อการดูดซึมของยา อีกทั้งน้ำอัดลมยังมีคาเฟอีนที่ส่งผลต่อยาด้วย

5. น้ำผลไม้ มีผลต่อการดูดซึมของตัวยา

ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แนะนำว่าควรรับประทานยากับน้ำเปล่า เหมาะสมและดีที่สุดแล้ว

หากมีข้อสงสัย ประชาชนสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กระทรวงสาธารณสุข (call center) โทร. 0 2590 7000

 

 


ศูนย์พุทธศาสตร์ศึกษา DCI ประชาสัมพันธ์โครงการเรียนฟรีภาษานานาชาติ (International Program Scholarships (IPS)

(พระมหาวุฒิชัย วุฑฒิชโย ปธ.๙ , Ph.D.) ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ ศูนย์พุทธศาสตร์ศึกษา DCI เปิดเผยว่า ด้วยศูนย์พุทธศาสตร์ศึกษา DCI มูลนิธิสถาบันธรรมชัย เป็นสถาบันจัดการศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณร ทั้งการศึกษาพุทธศาสตร์ ภาษาบาลี ภาษาต่างประเทศ เป็นต้น ปัจจุบันมีพระภิกษุสามเณรศึกษาอยู่จำนวน ๑๔๔ รูป มีคณาจารย์ทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอก จำนวน ๑๗ท่าน ปริญญาโท จำนวน ๑๐ ท่าน

ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้ดำเนินโครงการทุนเรียนภาษานานาชาติ (International Program Scholarships (IPS) ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เป็นโครงการมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนชายที่กำลังศึกษาหรือจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ซึ่งเป็นผู้ตั้งใจใฝ่ศึกษาและมีความประพฤติดี อายุระหว่าง ๑๘ - ๒๕ ปี เพื่อบรรพชาอุปสมบทและเรียนภาษาอังกฤษควบคู่กันไป โดยเป็นทุนการศึกษาแบบให้เปล่า เรียนฟรีตลอดหลักสูตร ทั้งค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก อาหารและเครื่องนุ่งห่ม เป็นระยะเวลา ๑ ปี เพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้ได้ระดับมาตรฐาน TOEIC, IELTS และเป็นการสนับสนุนการสร้างเยาวชนชายไทย ให้เป็นบัณฑิตทั้งทางโลกและบัณฑิตทางธรรม เก่ง ดี มีคุณภาพ พร้อมกันนี้หากผลการเรียนดี สามารถรับ

ทุนการศึกษาระดับสูงขึ้นและเลือกเรียนภาษาอื่นเพิ่มเติมได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รายละเอียดตามเอกสารดังแนบ

จึงขอประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าว ไปยังนักเรียนชายหรือผู้สนในที่มีคุณสมบัติดังที่ระบุไว้


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

 


PEA อำนวยความสะดวกผู้ใช้ไฟฟ้าชำระค่าไฟฟ้าทางออนไลน์

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ห่วงใยผู้ใช้ไฟฟ้าในสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 แนะนำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าชำระค่าไฟฟ้าผ่านทางช่องทางออนไลน์ เพื่อลดการแพร่ระบาดและป้องกันการติดเชื้อโควิด-19

โดยไม่ต้องเดินทางมาติดต่อที่สำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถเลือกชำระค่าไฟฟ้า ผ่านทางออนไลน์ ดังนี้

1. ผ่าน PEA Smart Plus

2. ผ่าน Mobile Application ของธนาคารและตัวแทนรับชำระเงิน

3. ผ่าน Website ของธนาคารและตัวแทนรับชำระเงิน

4. หักบัญชีเงินฝากธนาคาร / หักบัญชีบัตรเครดิต

5. ผ่าน PEA e-Pay

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1129 PEA Contact Center ตลอด 24 ชั่วโมง

 

 


การขึ้นทะเบียนและรายงานตัวผู้ประกันตนกรณีว่างงานรูปแบบใหม่

สำนักงานประกันสังคมได้ร่วมมือกับกรมการจัดหางานพัฒนาระบบ e-Service เพื่อให้บริการแก่ "ผู้ประกันตนมาตรา 33" กรณีว่างงาน จากการที่ถูกเลิกจ้าง หรือลาออกจากงาน สามารถขึ้นทะเบียนว่างงานและรายงานตัวผ่านระบบอินเตอร์เน็ต หรือผ่านระบบมือถือ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน "ไทยมีงานทำ" ได้ทั้งระบบ ios และ Android เพื่อทำรายการเพียงแนบไฟล์เอกสารสำเนาบัญชีธนาคารประเภทออมทรัพย์ในระบบ โดยไม่ต้องมายื่นเอกสารใด ๆ ที่สำนักงานประกันสังคมอีกเมื่อผู้ประกันตนสมัครใช้งานในแอปพลิเคชันดังกล่าวแล้ว ผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบผลการขึ้นทะเบียนและรายงานตัว ตรวจสอบสถานะการรับสิทธิประโยชน์ทดแทน เช่น วันที่รายงานตัวครั้งต่อไปผลการพิจารณาและจำนวนเงินที่ได้รับ ส่วนในกรณีที่ผู้ประกันตนไม่ได้รายงานตัวตามกำหนด ก็สามารถรายงานตัวผ่านแอปพลิเคชันนี้ได้

นอกจากนี้ การใช้งานแอปพลิเคชัน ดังกล่าวยังอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกันตนที่ว่างงานสามารถค้นหาตำแหน่งงานเพิ่มเติมได้ หากในกรณีที่ผู้ประกันตน

มีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานประกันสังคม หรือโทรสายด่วน 1506

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

 


ไฟเขียวลดภาษี นำเข้ารถยนต์ EV สูงสุด 40%

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่สำเร็จรูป (CBU) ประกอบสำเร็จรูปนำเข้าทั้งคัน ที่ได้รับสิทธิพิเศษทางอากรศุลกากรภายใต้ FTA และการนำเข้าทั่วไป ในปี 65-66 ดังนี้

1.ราคาขายปลีกแนะนำ ไม่เกิน 2 ล้านบาท กรณีใช้สิทธิ FTA อากรไม่เกินร้อยละ 40 ให้ยกเว้นอากร/ ใช้สิทธิ FTA อากรเกินร้อยละ 40 ให้ลดลงอีกร้อยละ 40 สำหรับกรณีนำเข้าทั่วไป อากรร้อยละ 80 ให้ลดลงเหลือร้อยละ 40

2. ราคาขายปลีกตั้งแต่ 2-7 ล้านบาท กรณีใช้สิทธิ FTA อากรไม่เกินร้อยละ 20 ให้ยกเว้นอากร/ ใช้สิทธิ FTA อากรเกินร้อยละ 20 ให้ลดลงอีกร้อยละ 20 สำหรับอัตราอากรนำเข้าทั่วไปให้ลดลงเหลือร้อยละ 60


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

 

 


ครม. เคาะ 7,660 ลบ. โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันปี 64–65

ครม. อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันปี 64–65 วงเงิน 7,660 ล้านบาท เพื่อสร้างความมั่นคงทางรายได้ในช่วงที่ราคาผลผลิตตกต่ำแก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันทั่วประเทศ ประมาณ 3.8 แสนราย โดยใช้หลักการเดิมเช่นเดียวกับในครั้งที่ผ่านมา คือ กำหนดราคาประกันของปาล์มทะลาย (อัตราน้ำมันร้อยละ 18) กิโลกรัมละ 4 บาท ให้ความช่วยเหลือครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ โดยเป็นเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตร ต้องเป็นพื้นที่ปลูกต้นปาล์มอายุ 3 ปีขึ้นไปที่ให้ผลผลิตแล้ว ส่วนระยะเวลาการจ่ายเงินประกันรายได้จะเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 – สิงหาคม 2565

ที่ผ่านมาโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันปี 64 รัฐบาลไม่มีการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างตลอดทั้งโครงการ เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันปาล์มในการบริโภคและพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปาล์มทะลายมีราคาเฉลี่ยทั้งปี 64 อยู่ที่ประมาณ 6.9 บาทต่อกิโลกรัม สูงกว่าราคาประกันรายได้ที่กำหนดไว้ 4 บาทต่อกิโลกรัม ตลอดทั้งปี


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

 



บริษัท ทีเอ็มซี อินทิเกรชั่น จำกัด จัดสัมมนาผู้ประกอบการธุรกิจอาหารและผู้ขับขี่รถส่งอาหาร ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการในยุควิถีใหม่

นางอโนชา บุญรักษา ผู้ช่วยกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท ทีเอ็มซี อินทิเกรชั่น จำกัด แจ้งว่า บริษัท ทีเอ็มซี อินทิเกรชั่น จำกัด ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินการจัดทำข้อมูลผู้ประกอบการและดำเนินกิจกรรมส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร และประยุกต์ใช้แพลตฟอร์ม National Delivery เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการในยุคชีวิตวิถีใหม่ ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และผู้ประกอบการรายย่อย (Micro Entrepreneurs) ในพื้นที่ ให้สามารถเข้าถึง และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่มีมาตรฐาน เชื่อถือได้ และเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อยกระดับสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ ตลอดจนเป็นการเตรียมความพร้อม การฟื้นฟูหลังสถานการณ์วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คลี่คลายลง และด้วยเห็นว่ากิจกรรมดังกล่าวนี้มีความสำคัญในการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัล บริษัทฯ จึงลงพื้นที่ทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ ได้แก่ การติดป้ายไวนิล และการเดินประชาสัมพันธ์ (Troop) ระหว่างวันที่ 11 - 23 กุมภาพันธ์ 2565

โดยในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 09.00 – 16.40 น. ณ โรงแรมกรุงศรี ริเวอร์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริษัทฯ ได้จัดงานสัมมนาผู้ประกอบการร้านค้า ในหัวข้อ “ความจำเป็นในการสร้างแพลตฟอร์ม National Delivery เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ในยุควิถีชีวิตใหม่ ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถอยู่รอดในวิกฤตเศรษฐกิจ”และ “การเชื่อมโยงแพลตฟอร์ม National Delivery เพื่อเป็นระบบ eco-system ของธุรกิจร้านอาหาร ร้านค้าและบริการ รวมถึงการสร้างความเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มอื่นที่กำหนด ซึ่งเป็นการพัฒนาช่องทางการเข้าใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของผู้ประกอบการที่สามารถนำระบบไปใช้ช่วยการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ” รวมถึง “การส่งเสริมการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) เข้าถึงและนำร้านค้าเข้าแพลตฟอร์มช่องทางการขายสินค้าและการจัดส่งสินค้า Delivery เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการขาย และการขยายการให้บริการให้กับประชาชนในรูปแบบวิถีชีวิตใหม่”

นอกจากนี้ ยังได้จัดสัมมนา (Work Shop) กลุ่มผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์ (Rider) หัวข้อ “ความจำเป็นในการสร้างแพลตฟอร์ม National Delivery เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบอาชีพ Rider ในยุควิถีใหม่” และ “การส่งเสริมการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างรายได้แก่ผู้ประกอบอาชีพ Rider” อีกด้วย ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินงานตามแนวทางของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเคร่งครัด

 

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

 


กรมบัญชีกลาง ชี้แจงเกี่ยวกับบำเหน็จบำนาญในปัจจุบันไม่มีปรับลดหรือยกเลิกแต่อย่างใด ย้ำ!! อย่าหลงเชื่อข่าวลือ

นางสาววารี แว่นแก้ว รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่มีการแชร์ข้อความในสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการยกเลิกบำนาญ การลดเงินบำนาญ การเพิ่มเงินบำนาญ และการรื้อระบบบำนาญเป็นต้น ซึ่งข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง ก่อให้เกิดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องและตื่นตระหนก

กรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลเกี่ยวกับเงินบำเหน็จ บำนาญข้าราชการ ขอชี้แจงว่า ปัจจุบันกรมบัญชีกลางยังไม่ได้รับนโยบายให้ลดหรือเพิ่ม รวมทั้งยกเลิกการจ่ายเงินบำนาญให้แก่ข้าราชการบำนาญอีกทั้ง พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้นิยามคำว่าบำนาญ หมายถึงเงินตอบแทนความชอบที่ได้รับราชการมาซึ่งจ่ายเป็นรายเดือน กล่าวคือ มีเจตนารมณ์ที่จะตอบแทนการเสียสละปฏิบัติงานให้กับประเทศมาด้วยดีเป็นระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้น จึงขอเตือนให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่าหลงเชื่อข้อความดังกล่าว

ทั้งนี้ ขอให้ติดตามข่าวสารจากช่องทางต่าง ๆ ของกรมบัญชีกลางเท่านั้น หรือสอบถามได้ที่ Call Centerกรมบัญชีกลาง 02 270 6400” โฆษกกรมบัญชีกลางกล่าว


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

 

 


สนง.โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประชาสัมพันธ์ และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน งานจ้างออกแบบ รายละเอียดโครงการพัฒนาพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน

นางสรัลพัชร ประโมทะกะ รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ด้วยกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทของผู้ให้บริการ คือ บริษัท โปรเกรสเทคโนโลยี คอนซัลแท็นส์ จำกัด และบริษัท ออโรส จำกัด เป็นผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบรายละเอียดโครงการพัฒนาพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน โดยได้เล็งเห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนอันจะเอื้อประโยชน์สูงสุดในการดำเนินโครงการและสอดคล้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. ๒๕๔๘ จึงกำหนดให้มีการประชุมเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ และรับฟังความคิดเห็น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์ชี้แจงขอบข่ายและขั้นตอนการดำเนินโครงการ ผลการจัดทำแผนแม่บทและร่างการจัดลำดับความสำคัญของการพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้น พร้อมเปิดโอกาสให้เสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อโครงการฯ

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงขอประชาสัมพันธ์ และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน งานจ้างออกแบบรายละเอียดโครงการพัฒนาพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบนในวันพุธที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. ณ ห้องประชุม Meeting Room ๓ ศูนย์การค้าอยุธยาซิตี้พาร์ค ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

 


ครม.ไฟเขียว วงเงินกว่า 150 ล้านบาท จัดซื้ออุปกรณ์ 19 รายการ แก้ปัญหาการระบาดโควิดในเรือนจำทั่วประเทศ

ครม.ไฟเขียว วงเงินกว่า 150 ล้านบาท จัดซื้ออุปกรณ์ 19 รายการ แก้ปัญหาการระบาดโควิด -19 ในเรือนจำทั่วประเทศ

ครม. เห็นชอบอนุมัติการแก้ไขปัญหาการระบาดโรคโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถานวงเงินรวม 150.69 ล้านบาท เพื่อให้กรมราชทัณฑ์นำไปจัดหาวัสดุและอุปกรณ์ ที่จำเป็นต้องใช้ในการแก้ไขปัญหาการระบาดโรคโควิด-19 จำนวน 19 รายการ ให้กับเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังในเรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ ได้แก่

- ชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) จำนวน 162,000 ตัว

- หน้ากากอนามัย N95 162,000 ชิ้น

- ถุงมือยาง 540,000 คู่

- ชุดตรวจ ATK จำนวน 454,674 ชุด

นอกจากนี้ ยังมีแอลกอฮอล์น้ำ เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว น้ำยาตรวจหาเชื้อไวรัส (น้ำยา PCR) เพื่อแจกจ่ายให้กับเรือนจำและทัณฑสถานที่มีความจำเป็นต้องใช้แต่ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการ


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

 

 


ครม. สั่ง ชะลอยกเลิก ‘ยูเซ็ป’ ยัน ยังรักษาโควิด-19 ฟรี

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องการประกาศยกเลิกยูเซ็ปว่า คณะรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงต่อประชาชน จึงให้กระทรวงสาธารณสุขกลับไปทบทวนและชะลอการประกาศออกไปก่อน เพราะจะต้องไปทำความเข้าใจและซักซ้อมการให้บริการและปรับบริการเพื่อจะรับผู้ป่วยสีเขียว เนื่องจากขณะนี้ผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน ทำให้มีผู้ป่วยสีเขียวค่อนข้างมาก และมีปัญหาในเรื่องของการรับโทรศัพท์ เช่น 1330 ไม่มีผู้รับสาย ไม่สามารถติดต่อได้ ดังนั้น จึงให้ไปเพิ่มบริการให้ดีก่อน ยืนยันว่า ขณะนี้ผู้ป่วยโควิด-19 ยังรักษาฟรีอยู่

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/

 


WHO แจง วัคซีนทำให้เกิดอาการข้างเคียงที่ไม่รุนแรง จะเป็นปกติได้ในระยะเวลาสั้น

วัคซีนทุกชนิดที่ WHO อนุญาตใช้กรณีฉุกเฉิน มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ

วัคซีนอาจมีอาการข้างเคียงได้ ซึ่งส่วนมากไม่รุนแรง เช่น มีไข้ ปวดศรีษะ ปวดบริเวณที่ฉีด มีไข้และหนาวสั่น ประมาณสองสามวันก็จะหายไปเอง อาการข้างเคียงของวัคซีนเป็นกลไกการตอบสนองของร่างกาย แต่ในบางคนอาจไม่มีอาการข้างเคียง ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าวัคซีนไม่ทำงาน เพราะว่าร่างกายแต่ละคนตอบสนองต่อวัคซีนไม่เหมือนกัน

ปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนโควิด 19 มากกว่า 50 ล้านคนในไทย วัคซีนทุกชนิดที่องค์การอนามัยโลกอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน ถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นว่ามีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ

 

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/



นายกฯ เดินหน้าแก้ปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ประกาศปี 65 เป็น “ปีแห่งการแก้หนี้ครัวเรือน” พร้อมกำหนด 8 มาตรการหลัก ลุยแก้ทุกมิติ เดินหน้าทำทันที

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนของประชาชน โดยกำหนดให้ปี 2565 นี้เป็น “ปีแห่งการแก้หนี้ครัวเรือน” หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องได้กำหนดมาตรการ แนวทาง ตลอดจนกิจกรรม ต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม ดังต่อไปนี้

1.แก้ไขปัญหาหนี้ กยศ. โดยมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้หลายด้าน

2. กำหนดให้การไกล่เกลี่ยและการปรับโครงสร้างหนี้เป็นวาระของประเทศ

กระทรวงการคลังเห็นชอบในหลักการของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ได้จัดให้มีโครงการมหกรรมไกล่เกลี่ยแก้หนี้สินครัวเรือน ครั้งที่ 1 จัดให้ลูกหนี้ ได้พบปะ หารือ รับคำปรึกษา เจรจากับสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้ รวมทั้งข้อกฎหมาย ทั่วประเทศ เตรียมจัดคิกออฟ ที่ กทม. 25-26 กุมภาพันธ์นี้ ก่อนจะเดินสายต่างจังหวัดต่อไป

3. แก้ไขปัญหาหนี้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ให้สำนักงานเศรษฐกิจและการคลัง พิจารณาร่วมกับ ธปท. กำหนดแนวทางกำกับดูแลสินเชื่อและธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายคลึง เพื่อให้มีการกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่เหมาะสมต่อไป

4. การแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการ โดยเฉพาะข้าราชการครูและข้าราชการตำรวจ ให้ธนาคารออมสินเร่งแก้ไขปัญหาหนี้ข้าราชการ ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขับเคลื่อนโครงการแก้ไขปัญหาหนี้ครูผ่านการใช้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูต้นแบบ

5. การปรับลดและทบทวนโครงสร้าง เพดานอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และการออกมาตรการคุ้มครองสิทธิของลูกหนี้

6. การแก้ไขปัญหาหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ให้ธนาคารออมสินและธนาคารกรุงไทย เข้าร่วมกับโครงการคลินิกแก้หนี้ของธปท. เพื่อสนับสนุนให้ปรับเปลี่ยนหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันให้เป็นสินเชื่อระยะยาวที่มีดอกเบี้ยต่ำลง เป็นต้น

7. การแก้ไขปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อยและ SMEs ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และ ธปท. พิจารณาแนวทางการดูแลลูกหนี้ SMEs ที่ได้ Soft loan สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ระยะแรกและจะครบกำหนดชำระ 2 ปี

8. การปรับปรุงขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมเพื่อเอื้อให้เกิดการแก้ไขปัญหาหนี้สิน


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/ayutthayanews/