วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564

ยาเสื่อมสภาพทราบได้อย่างไร

 


เมื่อผู้ป่วยได้รับยาจากโรงพยาบาลหรือร้านขายยาก็มักจะเข้าใจว่ายาดังกล่าวสามารถใช้ได้ตราบเท่าที่ยังไม่หมดอายุ แต่ในความเป็นจริงยาอาจมีคุณลักษณะ (เช่น รูปร่าง สี กลิ่น รสชาติ) คุณภาพ (เช่น ปริมาณตัวยาสำคัญ สารเจือปน) หรือประสิทธิผลการรักษา ที่แตกต่างไปจากตอนที่ผลิตออกมาใหม่ๆ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม (เช่น อุณหภูมิ ความชื้น แสง) หรือการเก็บรักษาที่ไม่ถูกต้อง ปัจจัยเหล่านี้มีผลทำให้ยาเสื่อมสภาพก่อนหมดอายุ ซึ่งไม่ควรนำมาบริโภคเพราะจะก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

การเสื่อมสภาพของยาเกิดขึ้นได้ใน 3 ลักษณะ คือ

1.       การเสื่อมสภาพทางเคมี ได้แก่ การลดลงของปริมาณตัวยาสำคัญ และการเพิ่มขึ้นของสารสลายตัว

2.       การเสื่อมสภาพทางกายภาพ ได้แก่ ความผิดปกติของรูปร่าง สี กลิ่น รสชาติ ความใสหรือขุ่น หรือการเกิดตะกอน

3.       การเสื่อมสภาพทางจุลชีววิทยาได้แก่ การปนเปื้อนของเชื้อเกินระดับปลอดภัย

          การเสื่อมสภาพของยาทั้งสามลักษณะมีความเกี่ยวข้อง เช่น การเพิ่มขึ้นของสารสลายตัวอาจทำให้กลิ่น รสชาติของยาเปลี่ยนไป หรือก่อให้เกิดพิษต่อร่างกาย ดังนั้นจึงไม่สมควรที่จะนำยาที่เสื่อมสภาพมาบริโภค

         การตรวจสอบการเสื่อมสภาพของยามักทำในห้องปฏิบัติการโดยผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตามการเสื่อมสภาพทางกายภาพบางประการเป็นสิ่งที่สังเกตได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว ประชาชนทั่วไปสามารถทำได้เอง บทความนี้จึงขอเสนอข้อแนะนำเบื้องต้นในการสังเกตการเสื่อมสภาพของยาทางกายภาพเพื่อเป็นแนวทางในการใช้ยาอย่างปลอดภัย


                                                                        ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.healthydee.moph.go.th/

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2564

รู้จักไวรัสโควิดสายพันธุ์อินเดีย

 


ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์อินเดียคืออะไร ?

          ไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า B1617 มีการตรวจพบในอินเดียครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคมของปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมชาติของไวรัสที่จะต้องเกิดการกลายพันธุ์อยู่เสมอ

ส่วนใหญ่แล้วการกลายพันธุ์แบบนี้มักไม่ส่งผลกระทบสำคัญใด ๆ การกลายพันธุ์ในบางครั้งทำให้เชื้อไวรัสเป็นอันตรายต่อมนุษย์น้อยลงด้วยซ้ำ แต่ในบางครั้งมันก็อาจทำให้ไวรัสแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีความสามารถต้านทานวัคซีนได้สูงขึ้นด้วย

                        


อันตรายและติดต่อง่ายขึ้นหรือไม่ ?

          ดร. เจเรมี คามิลล์ นักไวรัสวิทยาจากมหาวิทยาลัยลุยเซียนาสเตตของสหรัฐฯ บอกว่าลักษณะการกลายพันธุ์บางอย่างของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์อินเดีย มีความคล้ายคลึงกับที่พบในสายพันธุ์บราซิลและสายพันธุ์แอฟริกาใต้

การกลายพันธุ์ดังกล่าวอาจช่วยให้ไวรัสหลบเลี่ยงแอนติบอดีในระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ซึ่งแอนติบอดีนั้นเป็นสิ่งเดียวที่จะต่อสู้กับไวรัสได้ หลังจากคนผู้นั้นได้รับวัคซีนหรือเคยผ่านการติดเชื้อมาแล้ว

แต่ดูเหมือนว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์อินเดียจะยังไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงที่น่ากังวลที่สุดในตอนนี้ เมื่อเทียบกับไวรัสสายพันธุ์เคนต์ หรือ B.1.1.7 จากสหราชอาณาจักร ซึ่งตรวจพบได้มากที่สุดภายในประเทศ รวมทั้งแพร่กระจายไปยังกว่า 50 ประเทศทั่วโลกแล้ว


                                                                             ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.bbc.com/thai

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2564

เทคโนโลยีการติดตามผู้สัมผัส “contact tracing”

 


 ในช่วงที่โลกของเรากำลังเจอสถานการณ์ที่ทำให้ทุกคนต้องปรับตัวครั้งใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตครั้งใหญ่ที่สุดเลยก็ว่าได้ เนื่องจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากมาย เกิดหลักปฏิบัติ Social Distancing หรือการเว้นระยะห่างทางสังคม อยู่บ้านให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้อื่น หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้อื่น หลีกเลี่ยงสถานที่ชุมชน นอกจากนั้นได้มีการพัฒนาแอปพลิเคชันติดตามผู้สัมผัส (contact tracing) ขึ้นเพื่อรับมือและยับยั้งการแพร่ระบาด สาเหตุที่ต้องติดตามผู้สัมผัสกันขนาดนี้ก็เพราะอย่างที่ทุกคนทราบว่า เชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) สามารถติดต่อกันได้ง่าย ผู้ป่วย 1 ราย สามารถแพร่ให้กับคนใกล้ชิดได้อีก 2-3 ราย และในบางสภาพแวดล้อมก็อาจทำให้เกิดซูเปอร์สเปรดเดอร์ (super spreader) เช่น โบสถ์ สนามมวย โรงหนัง ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อหลักสิบถึงร้อยราย และยังมีความรุนแรงมากกว่าโรคติดเชื้อทางเดินหายใจทั่วไป ยิ่งถ้ามีผู้ป่วยจำนวนมากเข้าโรงพยาบาลพร้อมกันก็ยิ่งทำให้มีอัตราป่วยตายสูงขึ้น องค์การอนามัยโลกจึงประกาศให้ โรคจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (public health emergency of international concern: PHEIC) เมื่อวันที่ 30 มกราคม 63 ในขณะที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยก็ประกาศให้เป็นโรคติดต่ออันตราย ลำดับที่ 14 ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 63

หลักการทำงานของเทคโนโลยีการติดตามผู้สัมผัส (contact tracing) หลังจากที่เชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) แพร่ระบาดไปทั่วโลก ได้มีกลุ่มอาสาสมัคร บริษัทเอกชน รวมถึงรัฐบาลในหลายประเทศ จัดทำแอปพลิเคชันสำหรับติดตั้งบนโทรศัพท์มือถือประเภทสมาร์ตโฟนเพื่อใช้บันทึกข้อมูลการเดินทางและติดตามผู้สัมผัส โดยหลักการพื้นฐานของแอปพลิเคชันเหล่านี้จะเป็นการบันทึกข้อมูลว่าผู้ใช้ได้เดินทางหรือมีความใกล้ชิดกับบุคคลใดบ้าง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวผู้ใช้อาจต้องบันทึกด้วยตนเองหรือตัวแอปพลิเคชันจะเก็บรวบรวมให้โดยอัตโนมัติ หากมีการใช้งานไปเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วผู้ใช้สงสัยว่าติดเชื้อ ก็สามารถนำข้อมูลที่ระบบรวบรวมไว้ส่งให้แพทย์วิเคราะห์อาการต่อ หรืออาจพิจารณาประกาศแจ้งเตือนการติดเชื้อให้กับบุคคลที่เคยใกล้ชิดทราบได้ เทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้ในการติดตามผู้สัมผัสนั้นมีได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสแกน QR code การระบุพิกัดจาก GPS หรือการจับสัญญาณ Bluetooth จากอุปกรณ์ใกล้เคียง โดยเทคโนโลยีแต่ละรูปแบบนั้นมีจุดประสงค์ของการใช้งาน ความสามารถในการทำงาน และข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป เช่น

QR Code

         รูปแบบการใช้งานหลัก ๆ ของ QR code จะมี 2 ฝั่ง คือฝั่งผู้ให้บริการและฝั่งผู้ใช้บริการ โดยฝั่งผู้ให้บริการนั้นจะต้องลงทะเบียนเพื่อรับรหัสเฉพาะมาในรูปแบบของ QR code และพิมพ์ QR code นั้นไว้ในจุดที่ผู้ใช้บริการสามารถสแกนเพื่อ check-in ว่าได้มาใช้บริการแล้ว หรือตรวจสอบข้อมูลว่าร้านค้าหรือผู้ให้บริการดังกล่าวนั้นผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยแล้วหรือไม่

GPS

         การระบุพิกัดจาก GPS นั้นอาศัยการรับสัญญาณดาวเทียมเพื่อวิเคราะห์ตำแหน่งที่อยู่ โดยแอปพลิเคชันที่ใช้ข้อมูลจาก GPS นั้นส่วนใหญ่มักมีจุดประสงค์เพื่อแจ้งเตือนกรณีที่ผู้ใช้เข้าไปอยู่ในบริเวณที่มีเชื้อแพร่ระบาด หรือใช้เพื่อบันทึกประวัติการเดินทางย้อนหลังมากกว่าจะเป็นการวิเคราะห์ความใกล้ชิด เนื่องจากการใช้ข้อมูล GPS นั้นมีความคลาดเคลื่อนสูง

         อย่างไรก็ตาม การพัฒนาแอปพลิเคชันที่มีการเก็บรวบรวมและใช้งานข้อมูลที่มีความอ่อนไหวนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญในเรื่องความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงปลอดภัยอย่างเข้มงวด เนื่องจากการใช้งานแอปพลิเคชันติดตามผู้สัมผัสนั้นผู้ใช้อาจจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านสุขภาพ ข้อมูลบุคคลใกล้ชิด หรือข้อมูลพิกัดที่อยู่ ดังนั้นประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจึงเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายให้ความสำคัญ       

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก :www.scimath.org

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2564

วิธีดับความเผ็ดทั้งง่ายทั้งหายเผ็ดเร็ว

 


    อาหารรสจัดหรือความจัดจ้านของพริก คือหนึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นไทยที่หลายคนชื่นชอบ และชาวต่างชาติต่างพูดถึงหากจะหารับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดร้อนและขึ้นชื่อด้านอาหารเผ็ด ๆ คงไม่พ้นที่ประเทศไทย หลายท่านหาวิธีแก้อาการเผ็ดด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดื่มน้ำ การรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสชาติหวานหรืออื่น ๆ อีกมากมาย แต่บางคนอาจไม่ทราบว่ามีวิธีที่หลากหลายวิธีที่สามารถดับความเผ็ดได้ดีและรวดเร็ว จะมีอะไรบ้าง

ความเผ็ดร้อนที่เกิดจากพริก เพราะฤทธิ์ของสารชนิดหนึ่งชื่อว่าสารแคปไซซิน (Capsaicin) ที่มีอยู่มากมายในพริก เวลาที่เราทานอาหารเข้าไปสารชนิดนี้ก็จะเข้าไปกระตุ้นปลายประสาททำให้เกิดความรู้สึกแสบร้อนขึ้นมา ดังนั้น การจะทำให้การเผ็ดหายไปก็ต้องขจัดเจ้าแคปไซซินให้หมดไปนั่นเอง ส่วนจะมีวิธีอะไรบ้างนั้นมาดูกัน

          นม

          ในนมมีโปรตีนชื่อคาเซอิน (Casein) ที่จะไปดึงแคปไซซินจากปลายประสาท แล้วกำจัดมันทิ้ง จึงทำให้ความเผ็ดหายไปได้ วิธีการคือเมื่อเราดื่มนมเข้าไปควรอมไว้ในปากสักพัก เพื่อให้นมทำปฏิกิริยาภายในช่องปาก นอกจากนี้นมยังสามารถเคลือบกระเพาะของเราได้ ไม่ทำให้ความเผ็ดร้อนของพริกไปทำลายกระเพาะอาหารไม่ทำให้เกิดอาการแสบท้องได้ดีอีกด้วย

          น้ำมะนาวและมะเขือเทศ

         รสเปรี้ยวช่วยให้หายเผ็ดได้ดีเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราทานส้มตำก็จะมีมะนาวและมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบอยู่ในส้มตำอยู่แล้ว ถ้าเผ็ดก็ลองหยิบมะนาวในส้มตำ จะบีบเอาแค่น้ำมะนาวหรือจะทานทั้งเปลือกเลยก็ได้ รวมถึงมะเขือเทศที่ทานเข้าไปได้เลย ก็ช่วยแก้เผ็ดได้ระดับดีเลยทีเดียว

          น้ำมันมะกอกและน้ำมันมะพร้าว

          น้ำมันนี้สิช่วยได้ แคปไซซินละลายได้ดีในน้ำมันและไขมัน การอมน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าวกลั้วไว้ในปากแล้วบ้วนทิ้งจึงช่วยละลายแคปไซซินให้หมดไป ลองนึกเวลาที่เราทำอาหารกับข้าวน้ำมันเป็นสิ่งที่จะทำให้อาหารเราไม่ติดกับกระทะไม่ว่าจะผัดหรือทอด แล้วกับแค่ความเผ็ดลื่นหายออกจากปากของเราแน่นอน

          น้ำอุ่นหรือซุปร้อนๆ

         วิธีนี้อาจไม่แนะนำนักและคนส่วนมากไม่ค่อยนิยมซึ่งเป็นวิธีทรมานยิ่งขึ้นไปอีก ต้องเป็นคนที่มีความอดทนได้ดีในระดับหนึ่งที่จะคิดใช้วิธีนี้ คนส่วนมากถ้าเผ็ดจะเลือกทานน้ำเย็นจะช่วยหายเผ็ดร้อนแค่ตอนน้ำเย็นอยู่ในปากแต่หลังจากนั้นผลที่ได้จะเพิ่มความเผ็ดร้อนเพิ่มมากขึ้นทวีคูณมากขึ้น ผิดกลับน้ำอุ่นหรือซุปร้อนจะเผ็ดร้อนทวีคูณเมื่ออยู่ในปากแต่เมื่อเรากลืนน้ำอุ่นหรือซุปร้อนๆลงไปแล้วความเผ็ดจะลดลงได้ดีทีเดียวอย่างไม่น่าเชื่อ

          ข้าวหรือขนมปัง

          อีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ง่ายและหายเผ็ดจากพริกอย่างได้ผลคือ ข้าวและขนมปัง เวลาเราทานอะไรเผ็ดๆเพียงแค่หาขนมปัง ไม่งั้นก็ข้าวมาเคี้ยวๆ สักพักความเผ็ดก็จะหายไปเป็นวิธีการที่ได้ผลได้ดีเช่นกัน

          เกลือ

          เพียงแตะเกลือไว้ที่ลิ้นอมเกลือไว้ในปากเพื่อรับรสเค็มเข้ามาแทนที่ความเผ็ด เมื่อเกลือละลายจนหมด ความเผ็ดร้อนในปากจะลดลงด้วย

          น้ำตาลและน้ำผึ้ง

          ความหวานก็สามารถชนะความเผ็ดได้ เพียงใช้น้ำตาลทรายที่มีอยู่ในครัวของเรามาอมไว้ความหวานจะไล่ความเผ็ดร้อนของพริกได้ดีเช่นกัน หรือหากมีน้ำผึ้งเอามาทากับขนมปังแล้วกินสูตรนี้ก็ไม่แพ้กัน

          เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

          คุณเคยคิดไหมว่าแอลกอฮอล์ก็ทำให้หายเผ็ดได้ หากคุณเป็นนักดื่มตัวยงคงถูกใจวิธีการนี้ไม่น้อย แต่ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่ไม่ชอบดื่มหรือเกลียดกลิ่นแอลกอฮอล์ และอาจทำให้คุณเมาหรือขาดสติได้หากดื่มในปริมาณมากดังนั้นหากจะใช่วิธีนี้ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม วิธีง่ายเพียงดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า ไวน์ เบียร์ เป็นต้น เพียง 1 แก้ว แอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มจะไปไล่ความเผ็ดให้หมดไปอย่างรวดเร็ว

          ปล่อยให้น้ำลายไหล

          วิธีนี้อาจเป็นวิธีที่น่าเกลียดไปสักหน่อยในที่สาธารณะ แนะนำควรทำเมื่อเราอยู่คนเดียว หรือในห้องน้ำที่ที่เป็นส่วนตัวจะดีที่สุด โดยอ้าปากแล้วแลบลิ้นออกมา ก้มหัวลงพอประมาณ ให้น้ำลายไหลสัก 4-5 หยด จะเป็นการไล่ความเผ็ดร้อนออกจากปากโดยเฉพาะลิ้นได้ดี เป็นวิธีที่ง่ายและไม่ต้องใช่อะไรเลย และได้ผลไม่แพ้วิธีต่างๆที่กล่าวมาอย่างแน่นอนครับ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก :www.scimath.org

 

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2564

บ้านแบบไหนที่คุ้มค่ากับการลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์

 


พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานทางเลือก ที่ปัจจุบันเจ้าของบ้านจำนวนมากให้ความสนใจ ผู้เขียนเองในฐานะผู้ทำงานออกแบบบ้าน ทุก ๆ ครั้งที่ได้สัมภาษณ์พูดคุยงานออกแบบกับว่าที่เจ้าของบ้านใหม่ เจ้าของบ้านเกือบ ทุกหลังมักถามถึงความคุ้มค่าในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์อยู่เสมอ

          ซึ่งคำตอบของคำถามแต่ละบ้านนั้นมีความแตกต่างกัน จำเป็นต้องสำรวจทิศทาง ตรวจเช็คงานหลังคา รวมทั้งสำรวจพฤติกรรมในการใช้พลังงานไฟฟ้าในแต่ละวัน เนื้อหานี้จึงเป็นเสมือนเช็คลิสต์ให้ผู้อ่านได้ตรวจเช็คได้ด้วยตนเองว่า บ้านของเราเหมาะสมกับการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์หรือไม่ 

 รู้จักระบบ Solar Cell แล้วเลือกให้เหมาะกับบ้าน

          เจ้าของบ้านจำนวนไม่น้อยยังมีความเข้าใจผิดว่า บ้านที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์จะเหมาะกับบ้านที่ห่างไกลความเจริญและต้องใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เท่านั้น ความเป็นจริงแล้วโซลาร์เซลล์ปัจจุบันสามารถนำมาใช้ได้กับทุก ๆ พื้นที่ ทั้งในเมือง ชนบทและพื้นที่ห่างไกลความเจริญ กรณีนำมาใช้ร่วมกับบ้าน ปัจจุบันมีให้เลือก 3 ระบบหลักด้วยกันครับ

ระบบออฟกริด (Off Grid) เหมาะกับบ้านที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล พื้นที่สวน ไร่ฟาร์ม หรือที่ดินตาบอดที่ไม่มีเสาไฟฟ้าผ่านหน้าบ้าน ซึ่งหากลงทุนเดินเสาไฟฟ้าเองจะต้องใช้งบประมาณสูงมาก ระบบ Off Grid มุ่งเน้นการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เป็นหลัก โดยการใช้ไฟฟ้าช่วงกลางวันจะดึงกระแสไฟจากแผงโซลาร์เซลล์โดยตรง และมีแบตเตอรี่สำรองเพื่อเก็บพลังงานไฟฟ้าใช้ในยามค่ำคืน

ระบบออนกริด (On Grid) เป็นระบบที่ใช้กระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแผงโซลาร์เซลล์ โดยกระแสไฟฟ้าที่ได้จากแผงโซลาร์เซลล์จะมุ่งเน้นการใช้งานร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในเวลากลางวัน หากกระแสไฟฟ้าเหลือเกิน จะถูกแบ่งขายคืนให้กับการไฟฟ้า และหากผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ได้น้อย จะใช้กระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าแทน ข้อดีของแบบออนกริด นอกจากจะช่วยประหยัดค่าไฟได้แล้วยังได้กำไรจากการขายกระแสไฟให้ภาครัฐอีกด้วย

ระบบ Hybrid Grid เป็นระบบที่ผสมผสานระหว่าง Off Grid และ On Grid เข้าด้วยกัน โดยจะมีความใกล้เคียงกับระบบออนกริด โดยมีจุดแตกต่าง คือ ระบบไฮบริดมีแบตเตอรี่สำรองไว้สำหรับเก็บกระแสไฟฟ้าที่ได้จากแผงโซลาร์เซลล์ จึงมีพลังงานไฟฟ้าสำรองสามารถนำมาใช้ในยามค่ำคืนหรือช่วงเวลากระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าดับได้ แต่ระบบไฮบริดจะไม่สามารถขายกระแสไฟให้กับภาครัฐได้ และเนื่องจากในตอนนี้ระบบแบตเตอรี่ยังมีราคาที่ค่อนข้างสูงมาก ทำให้มีระยะเวลาคืนทุนค่อนข้างนานมาก หรืออาจไม่คืนทุนเลย จึงยังไม่แนะนำให้ติดตั้ง

          บ้านที่เหมาะกับการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์

1. บ้านที่มีหลังคาลาดเอียงทางทิศใต้ ทิศตะวันตก หรือ ทิศตะวันตกเฉียงใต้
เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร จึงได้รับแสงแดดและความร้อนจากดวงอาทิตย์ทางทิศตะวันตกและทิศใต้สูงสุดในแต่ละวันเป็นระยะเวลา 8-9 เดือนโดยประมาณ หากมีพื้นที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์ฝั่งดังกล่าวจะคุ้มค่ากว่าทิศอื่น

2. บ้านที่มีพื้นที่ว่างสำหรับวางแผงโซลาร์เซลล์
โดยปกติแล้วก่อนติดตั้ง เจ้าของบ้านควรทราบความต้องการในการใช้พลังงานไฟฟ้ารวม เพื่อประเมินได้ว่าควรต้องติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ทั้งหมดกี่แผง แต่ละแผงมีสเปคเท่าไหร่ ตัวอย่างแผงโซลาร์เซลล์ของ SCG หากใช้กับบ้านทั่วไปที่มีหลอดไฟ 20 ดวง ทีวี 2 เครื่อง เครื่องปรับอากาศ 2 เครื่อง (ขนาด 9000 BTU) และตู้เย็น 1 เครื่อง จะต้องใช้แผงโซลาร์เซลล์ 5 แผง ใช้พื้นที่ติดตั้งประมาณ 10-14 ตร.ม.

3. บ้านที่ใช้ไฟฟ้าช่วงกลางวันมากหรือสำนักงาน
พลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ สามารถผลิตได้ช่วงกลางวัน หากการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านหรืออาคารสถานที่ มุ่งเน้นการใช้งานกลางวันก็จะช่วยส่งกระแสไฟฟ้าได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องเก็บสำรองในแบตเตอรี่ การติดตั้งโซลาร์เซลล์ จึงคุ้มค่ามากและเหมาะอย่างยิ่งสำหรับสำนักงาน, Home Office, คาเฟ่, ร้านอาหาร ที่โดยปกติจำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศและเครื่องใช้สำนักงานจำนวนมาก หรือบ้านไหนมีผู้สูงอายุ มีเด็ก ที่ปกติต้องอยู่บ้านทั้งวันและใช้พลังงานไฟฟ้าสูงเกิน 3,000 บาทขึ้นไป ก็เหมาะสมเช่นกัน

4. บ้านที่กระแสไฟตกบ่อย
แม้ปัจจุบันในประเทศไทย ไฟฟ้าได้เข้าถึงเกือบทุกพื้นที่แล้ว แต่ก็มิได้หมายความว่ากระแสไฟฟ้าจะเสถียรทั้งหมด แม้แต่ในชุมชนเมืองบางพื้นที่ ที่มีการอยู่อาศัยอย่างหนาแน่นมักเกิดปัญหากระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอ ทำให้เกิดเหตุการณ์ไฟตกบ่อยครั้ง การมีพลังงานไฟฟ้าที่สามารถผลิตได้เองด้วยแผงโซลาร์เซลล์ จึงเป็นเสมือนตัวช่วยประกันความเสี่ยงในการใช้พลังงานไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี

5. บ้านสวนสนามกว้างสายไฟไปไม่ถึง

โซลาร์เซลล์ไม่ได้มีเฉพาะแบบแผงสี่เหลี่ยมที่ติดตั้งอยู่บนหลังคาเท่านั้น ยังมีในรูปแบบอื่น ๆ ให้เลือกใช้งาน อาทิ ไฟตกแต่งสวนโคมไฟโซลาร์เซลล์แบบฝังพื้น โคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์แบบปักสนาม ที่สะดวกสำหรับบ้านสนามหญ้ากว้าง ๆ จึงไม่จำเป็นต้องเดินระบบสายไฟออกไกลนอกบ้าน ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและลดอันตรายจากการต่อสายไฟออกมากลางแจ้งได้เป็นอย่างดี

ในท้ายนี้ขอเพิ่มเติมข้อสังเกต ในกรณีบ้านที่ไม่เหมาะติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ เพราะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควรจะเป็น คือ บ้านที่มีอาคารสูงบังทางทิศใต้หรือทิศตะวันตก บ้านที่มีพื้นที่หลังคาน้อยหรือโครงสร้างหลังคาไม่รองรับ หรือบ้านที่ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยมีค่าไม่เกิน 1,000 บาท/เดือน หากติดตั้งโซลาร์เซลล์ไปแล้วอาจไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน

                                                                                              ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.scgbuildingmaterials.com

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2564

ดูแลให้ความรัก ใส่ใจผู้สูงวัยในครอบครัว

 


ครอบครัวที่อบอุ่นเป็นจุดเริ่มต้นของการมีชีวิตที่ดี และการมีครอบครัวที่อบอุ่นเริ่มได้ง่ายๆ จากการเอาใจใส่ซึ่งกันและกันในครอบครัว ในปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอาจทำให้เรามีเวลาน้อยลงจนลืมใส่ใจกับผู้สูงวัยในครอบครัว เช่น ปู่ย่า ตายาย ทั้งที่แท้จริงแล้วผู้สูงวัยมีอายุค่อนข้างมาก แม้จะไม่อยากจะรบกวนเวลาลูกหลาน แต่ยังต้องการความใส่ใจจากลูกหลานบ้างเพื่อลดความคิดถึงและความคิดมากลงบ้าง นอกจากนี้การเอาใจใส่ยังช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงอายุเห็นความสำคัญและคุณค่าในตัวเองด้วย

โดยทั่วไปในเทศกาลสำคัญๆ นอกจากการแสดงความรักด้วยการรดน้ำดำหัว มอบของขวัญให้กับญาติผู้ใหญ่ที่เรารักแล้วข้อแนะนำการให้ความสำคัญแก่ผู้สูงวัยในครอบครัว ด้วยการหมั่นดูแลและใส่ใจผู้สูงอายุ มีดังนี้

1.   ใส่ใจในโภชนาการของผู้สูงวัย แม้ว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะรับประทานอาหารได้น้อยลง แต่การรับประทานอาหารควรรับประทานให้ถูกสัดส่วน ครบทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ รวมถึงหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีรสหวาน มัน และเค็มจัด ควรทานอาหารที่ย่อยง่าย กากใยสูง

2.   พาไปตรวจสุขภาพประจำปี เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ลูกหลานไม่ควรละเลย เนื่องจากร่างกายของผู้สูงวัยมีการเสื่อมสภาพลง ระบบภายในหรือสุขภาพอาจจะเกิดความผิดปกติได้ ดังนั้น การพาผู้สูงวัยไปตรวจสุขภาพประจำปี จะทำให้สามารถคัดกรองหาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจจะทำให้เกิดโรค

3.   ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ เมื่ออายุมากขึ้นเท่าไหร่การเสื่อมสภาพของร่างกายย่อมตามมา โดยเฉพาะปัญหาการล้มของผู้สูงวัยค่อนข้างเยอะ ดังนั้นควรเลือกกิจกรรมที่ผู้สูงอายุจะทำให้เหมาะสมหรือภายในที่พักอาศัย ควรเก็บของให้เป็นระเบียบ โดยเฉพาะในห้องน้ำควรจะมีราวจับไว้ด้วย

4.   พยายามให้ผู้สูงอายุได้ออกกำลังกายบ้าง แม้ว่าผู้สูงอายุไม่ค่อยกล้าที่จะออกกำลังกายเพราะอาจจะกลัวผลัดตกหกล้ม กลัวจะไม่มีแรงออกกำลัง ควรหากิจกรรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมให้กับผู้สูงอายุ และคอยให้ความช่วยเหลือ เช่น การช่วยพยุงให้เดินแกว่งแขนเบาๆ เพื่อช่วยยืดคลายกล้ามเนื้อ เปิดเพลงคลอเบาๆ ช่วยให้ผ่อนคลาย ลดความตึงเครียดกับการออกกำลังกาย ก็จะทำให้ผู้สูงอายุมีร่างกายที่แข็งแรงและมีอารมณ์ดีมากยิ่งขึ้น 

5.   จัดสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อให้ผู้สูงอายได้พักผ่อน เช่น ปลูกต้นไม้หรือทำในสิ่งที่ผู้สูงอายุชอบ ฟังเพลง ร้องเพลง เลี้ยงสัตว์ เป็นต้น เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุมีความเครียดน้อยลงและมีจิตใจที่แจ่มใส

การที่เราอยู่ในครอบครัวเดียวกันมานาน อาจทำให้เราคุ้นเคยกับร่างกายที่แข็งแรงของผู้สูงอายุในครอบครัวจนลืมไปว่าแม้ผู้สูงอายุเคยเป็นคนที่แข็งแรง แต่เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายย่อมมีการเสื่อมสภาพลง ต้องการการดูแลที่มากขึ้น ดังนั้นลูกหลานในครอบครัวไม่ควรปล่อยปะละเลย ควรดูแลเอาใจใส่ผู้สูงอายุที่เรารักและเคารพให้มาก เพื่อให้ผู้สูงอายุมีอายุยืน มีสุขภาพที่แข็งแรงทั้งงด้านร่างกายและจิตใจ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.healthydee.moph.go.th/

 

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2564

ปิดโพรงใต้บ้าน หลังดินทรุดตัว รับมือก่อนบ้านทรุด



 เพราะบ้านเป็นสมบัติชิ้นใหญ่ที่จะต้องใช้ทั้งชีวิตอยู่ภายใต้ชายคา เจ้าของบ้านทุกคนจึงต้องการคุณภาพบ้านที่ดีที่สุด ด้วยการใส่ใจตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้น ไปจนถึงเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ได้บ้านที่สมบูรณ์อย่างที่ต้องการ แต่ในความเป็นจริง บางปัจจัยแวดล้อมที่ควบคุมได้ยากก็อาจจะสร้างปัญหาที่ไม่คาดคิดได้เช่นกัน อย่างเช่น เมื่อพูดถึงเรื่อง “บ้านทรุด” ซึ่งอาจมีที่มาจากการทรุดตัวของดินจนเกิดเป็นโพรงรอบบ้านที่ฝืนธรรมชาติไม่ได้ แต่เมื่อเจอปัญหาบ้านทรุดอย่าเพิ่งตกใจจนลนลาน เพราะโพรงใต้บ้านอาจจะไม่ใช่สัญญาณเลวร้ายอย่างที่คิด และมีวิธีการที่เจ้าของบ้านสามารถรับมือกับโพรงที่เกิดจากบ้านทรุดได้ไม่ยาก

โพรงใต้บ้านเกิดจากอะไร
        ปัญหาโพรงใต้บ้านส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาดินทรุดตัวทางธรรมชาติ ซึ่งปกติพื้นดินมีโอกาสที่จะทรุดได้อยู่แล้ว แต่จะมากหรือน้อยขึ้นกับหลายปัจจัย ในบางกรณีหากละเลยอาจส่งผลให้บ้านทรุดในภายหลังได้ เช่น ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีลักษณะเป็นชั้นดินอ่อน ระดับการทรุดตัวค่อนข้างมาก (ประมาณ 10 เซนติเมตร/ปี) หรือหากการก่อสร้างนั้น เพิ่งมีการถมดินที่ยังทิ้งระยะเวลาไม่นานนัก ดินที่ถมใหม่ยังไม่แน่นพอ เมื่อผ่านฝนไปอีก 2-3 ปี จะมีการทรุดเพิ่มภายหลัง และเมื่อดินทรุดมากขึ้นเรื่อย ๆ จะเริ่มมองเห็นฐานรากของบ้าน เสี่ยงต่อการที่บ้านทรุด จึงเกิดเป็นโพรงดินใต้บ้าน หากระบบฐานรากออกแบบไว้ดีแล้วจะไม่ส่งผลกระทบใดกับตัวบ้าน มีเพียงปัญหาดินเป็นโพรงเท่านั้นครับ 

วิธีปิดโพรงใต้บ้าน
        แม้ว่าโพรงที่เกิดขึ้นใต้ตัวบ้านจะไม่ได้สร้างความเสียหายและเป็นอันตรายกับโครงสร้างของอาคาร เพราะตัวบ้านวางอยู่บนเสาเข็มช่วยพยุงเอาไว้ แต่ก็เป็นส่วนที่ทำให้บ้านดูไม่สวยงามและอาจเป็นจุดรองรับน้ำขัง หรือเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์มีพิษได้ จึงควรแก้ไขปิดช่องว่างเหล่านี้ให้เรียบร้อย ซึ่งมีหลายวิธีให้เลือก ดังนี้ 

- บังโพรงแบบชั่วคราว หากสำรวจแล้วว่าร่องรอยโพรงไม่ใหญ่มาก อาจบังรูโหว่ง่าย ๆ แบบชั่วคราวไปก่อน เช่น วางกระถางต้นไม้ทรงเหลี่ยมมาเรียงเป็นแนวติด ๆ กัน ตกแต่งช่องว่างเพิ่มเติมด้วยกรวด แนวกระถางต้นไม้จะบดบังความไม่สวยงามเหล่านี้ให้ดูงามตาขึ้นได้ 

- ใช้ขอบคันหินปิดโพรง ขอบคันหินใช้สำหรับบ้านที่มีขนาดโพรงไม่ใหญ่ การทรุดตัวไม่มากประมาณ 13 - 23 ซม. เหมาะกับการใช้ขอบคันหินสูงตั้งแต่ 20 - 30 ซม. เลือกใช้ตามความเหมาะสม สามารถวางขอบคันหินเป็นแปลงปลูกต้นไม้ ช่วยพรางร่องรอยและให้ความสวยงามกับบ้านไปพร้อม ๆ กัน

- ทำแผงป้องกันดินไหล เพื่อแก้ไขดินทรุดรอบบ้าน ในกรณีที่โพรงใต้บ้านมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีดินไหลลงไป สามารถอุดปิดด้วยแผ่นพื้นคอนกรีต แผ่นพื้นสำเร็จ แผ่นโฟม หรือแผ่น metal sheet ผิวเรียบ โดยวิธีการปรับแก้เริ่มขุดดินโดยรอบโพรงให้ลึกกว่าดินใต้ตัวบ้าน จากนั้นนำแผ่นวัสดุมาเสียบในดินให้แน่น (ลึกประมาณ 50-80 เซนติเมตร) อาจก่ออิฐปิดทับอีกชั้น เพื่อกันดินจากด้านนอกไหลเข้าไปในโพรง 

- เติมดินและทรายไปเรื่อย ๆ วิธีนี้ใช้ได้ดีกับโพรงใหญ่ ๆ ที่ทรุดตัวเพิ่มน้อย มักจะปิดโพรงด้วยการเติมดินหรือทราย โดยขุดรอบ ๆ รอยแยกให้เห็นแนวโพรง แล้วอัดดินหรือฉีดน้ำไล่ทรายเข้าไป เสร็จแล้วถมดินรอบบ้านให้สูงขึ้นจนเลยโพรงใต้บ้าน แต่การอัดดินต้องระวังเรื่องการกระทบระบบท่อต่าง ๆ ใต้อาคารและการเพิ่มน้ำหนักให้โครงสร้างบ้าน 

-  กรณีดินรอบบ้านทรุดตัวมาก ทรุดมานานจนเริ่มคงตัวแทบไม่ทรุดต่อแล้ว (ไม่เกิน 10 ซม. ใน 1 ปี) มีโพรงขนาดใหญ่แต่สังเกตแล้วว่าแทบไม่ทรุดตัวต่อ แต่แก้ไขหลายครั้งหลายวิธีแล้วยังกลับมาอยู่ในสภาพเดิม แนะนำให้แก้ไขด้วยการปิดโพรงผ่านบริการปิดโพรงใต้บ้าน หรือ Smart Space Covering จาก SCG ที่จะแก้ไขปัญหาดินทรุดตัวตามระดับปัญหาที่เกิดขึ้น 

                                    ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.scgbuildingmaterials.com

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2564

ของเสียเป็นพลังงาน




โลกในปัจจุบันได้เกิดการพัฒนาและขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านประชากร ที่อยู่อาศัย การคมนาคม การติดต่อสื่อสาร ความต้องการด้านพลังงาน ซึ่งทุกอย่างล้วนรวมไปถึงการดำเนินชีวิตของมนุษย์ และถึงแม้ว่าโลกจะเกิดการพัฒนาไปในทิศทางไหน มนุษย์ทุกคนก็ล้วนแต่อาศัยปัจจัย 4 ที่สำคัญของมนุษย์ กล่าวคือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ซึ่งในกระบวนการผลิต การใช้งาน รวมไปถึงการอุปโภคและบริโภคปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ล้วนก่อให้เกิดของเสียจากกิจกรรมต่างๆ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะปริมาณมูลฝอยที่มนุษย์ผลิตขึ้นมานั้น ไม่สามารถทำลายได้หมดหรือไม่สามารถทำลายได้ในช่วงเวลาสั้นๆ  จึงส่งผลก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ของเสีย ขยะมูลฝอย หรือขยะชุมชน” ขึ้นภายในชุมชน

ของเสีย ขยะมูลฝอย หรือขยะชุมชน (Municipal Solid Waste) หมายความถึง เศษกระดาษ เศษผ้า เศษอาหาร เศษสินค้า เศษวัตถุ ถุงพลาสติก ภาชนะที่ใส่อาหาร เถ้า มูลสัตว์ ซากสัตว์ หรือสิ่งอื่นใดที่เก็บกวาดจากถนน ตลาดที่เลี้ยงสัตว์หรือที่อื่น และหมายความรวมถึงมูลฝอยติดเชื้อ มูลฝอยที่เป็นพิษ หรืออันตรายจากชุมชน หรือครัวเรือน ยกเว้นวัสดุที่ไม่ใช้แล้วของโรงงานซึ่งมีลักษณะคุณสมบัติที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน

จากความแตกต่างในบริบทของแต่ละพื้นที่ กิจกรรมในการดำเนินชีวิต วัฒนธรรม ความเชื่อ ฐานะทางเศรษฐกิจ ค่านิยม และระดับความเจริญของพื้นที่ จึงส่งผลทำให้ส่วนประกอบของขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นภายในแต่ละพื้นที่นั้นมีความแตกต่างกันทั้งในด้านปริมาณ สัดส่วน และประเภทของขยะ ซึ่งจากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวลล้อม ปี 2548 พบว่าปริมาณขยะในเทศบาล มีสัดส่วนของเศษอาหารและขยะที่เป็นสารอินทรีย์มากที่สุด คือร้อยละ 63.57 รองลงมาได้แก่ พลาสติก กระดาษ แก้ว โลหะ ผ้าไม้ ยางหรือหนัง ตามลำดับ ส่วนที่เหลือเป็นขยะอื่นๆ โดยส่วนใหญ่ขยะจำพวก พลาสติก กระดาษ แก้ว โลหะ จะสามารถนำไปใช้ซ้ำ (Reuse) และการนำไปแปรรูปใช้ใหม่ (Recycle) ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยและช่วยลดปริมาณขยะมูลฝอยอีกทางหนึ่งด้วย ส่วนขยะอินทรีย์จะถูกนำไปจัดการด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การฝังกลบ หมักทำปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ ผลิตก๊าซชีวภาพ ฯลฯ

สำหรับแนวทางการกำจัดขยะมูลฝอยด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ภายในประเทศและต่างประเทศนั้นจะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมในด้านต่างๆ อาทิเช่น ด้านเทคนิค (ปริมาณขยะในแต่ละวัน การขนส่ง การเก็บรวบรวมขยะ คุณสมบัติและประเภทของขยะ) ด้านสังคม (วิถีชีวิต พฤติกรรมการอุปโภคและบริโภค) ด้านสิ่งแวดล้อม (พื้นที่ติดตั้ง สภาพภูมิประเทศ แหล่งน้ำ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สภาพอากาศ) และด้านเศรษฐศาสตร์ (การลงทุน, ค่าบำรุงรักษาระบบ ค่าดำเนินงาน ผลตอบแทนที่ได้รับ) ฯลฯ สำหรับประเทศไทยในปัจจุบันได้มีการใช้เทคโนโลยีจัดการขยะมูลฝอยหลากหลายวิธี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ และผลผลิตที่ได้จากเทคโนโลยี โดยสามารถแบ่งเทคโนโลยีการจัดการขยะออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทแรกเพื่อการย่อยสลายขยะ เช่น เทคโนโลยีฝังกลบขยะมูลฝอยแบบถูกหลักสุขาภิบาล (Sanitary Landfill) เทคโนโลยีการคัดแยก (Front-End-Treatment) การหมักทำปุ๋ย (Composting) วิธีการบำบัดเชิงกล-ชีวภาพ (Mechanical Biological Waste Treatment: MBT) เป็นต้น และประเภทที่สองการจัดการขยะเพื่อผลิตพลังงาน (Waste to Energy) เช่น การแปรรูปขยะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง (Pyrolysis) เทคโนโลยีการเผาไหม้แบบแก๊สซิฟิเคชั่น (Gasification) เทคโนโลยีเตาเผาแบบตะกรับ (Stoker-type Incineration) เทคโนโลยีการย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) การผลิตเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel: RDF) เป็นต้น


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.ete.eng.cmu.ac.th/

วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2564

โควิด-19 กับ สัตว์เลี้ยง

    

    
    ปัจจุบันในขณะที่เรากำลังรับมือกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19(COVID-19) เราก็จะได้ข่าวรายงานการติดเชื้อโควิด-19ในสัตว์ที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว และล่าสุดเสือที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งอาจสร้างความกังวลให้กับคนรักสัตว์รวมถึงคนที่เลี้ยงสัตว์อยู่ไม่น้อย


เริ่มจากข่าวรายงานการตรวจพบเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสุนัขและแมวในฮ่องกง และในแมวที่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหารในประเทศเบลเยียมในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคมที่ผ่านนั้น เป็นสุนัขและแมวที่ใกล้ชิดกับเจ้าของที่ป่วยเป็นโควิด-19 และยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามีการแพร่เชื้อกลับจากสัตว์เลี้ยงสู่คน

 

สำหรับการพบเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสุนัขในฮ่องกงนั้น ยังไม่ถือว่าเป็นการติดเชื้อ เนื่องจากมีเชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ในระดับต่ำ ไม่มีการแพร่เชื้อกลับจากตัวสุนัขมายังคน และนอกจากนี้สุนัขดังกล่าวมีผลตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นลบในเวลาต่อมา

และในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้ได้มีรายงานข่าวการตรวจพบเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเสือโคร่ง ซึ่งเป็นสัตว์ตระกูลแมว ที่มีการแสดงความผิดปกติทางระบบหายใจ ในสวนสัตว์ที่เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าเป็นการติดเชื้อจากพนักงานดูแลสัตว์ที่มีผลบวกต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะยังไม่แสดงอาการยังคงปฏิบัติงานอยู่ แต่หลังจากทำการตรวจพนักงานดูแลสัตว์ดังกล่าวแล้วผลเป็นบวก สวนสัตว์ก็ปิดทำการ และพบว่าสัตว์กลุ่มที่ได้รับการดูแลโดยพนักงานคนนี้ได้แสดงอาการผิดปกติทางระบบหายใจในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ต่อมา

จากข้อมูลการตรวจพบเชื้อไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มสัตว์ที่ได้กล่าวถึงไปนั้นจะเห็นได้ว่า สัตว์เหล่านั้นได้ใกล้ชิดกับเจ้าของหรือได้รับการดูแลจากผู้ดูแลที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นการติดจากคนสู่สัตว์ และยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามีการติดเชื้อกลับมาจากสัตว์เลี้ยงสู่คน

จากงานเขียนทางวิชาการในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีการเผยแพร่การศึกษาในจีนซึ่งเป็นการศึกษาความไวหรือความสามารถในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสัตว์ทดลอง 6 ชนิด ได้แก่ แมว สุนัข เฟอร์เร็ต สุกร เป็ด และไก่ ผลการศึกษาพบว่าแมวและเฟอร์เร็ตเป็นสัตว์สองชนิดที่มีความไวต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้อาจสรุปได้ว่าแมวและเฟอร์เร็ตเป็นสัตว์สองชนิดที่มีความไวต่อการติดเชื้อ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าแมวสามารถติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในธรรมชาติหรือสามารถแพร่เชื้อดังกล่าวมาที่คนได้หรือไม่ เนื่องจากการศึกษาดังกล่าวเป็นการศึกษาในห้องทดลอง และยังจำเป็นต้องมีผลการศึกษาเพิ่มเติมอีก

อีกการศึกษาหนึ่ง (Preprint) เป็นการศึกษาเพื่อหาความชุกของการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในแมว โดยมีการตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเลือดแมวก่อนและหลังการระบาดของโควิด-19 ในเมืองอู่ฮั่น พบว่า 14% ของตัวอย่างเลือดแมวที่ตรวจมีเชื้อของโควิด-19 ภายหลังการระบาดของโรค แสดงให้เห็นว่ามีการแพร่ของเชื้อเชื้อไวรัสจากคนสู่แมว แต่เราจะสังเกตได้ว่าจำนวนแมวติดเชื้อที่ตรวจพบไม่มากนัก และอีกหนึ่งข้อสังเกตที่สำคัญ คือ เมืองอู่ฮั่นนั้นเป็นศูนย์กลางของการแพร่เชื้อจึงมีปริมาณเชื้อไวรัสกระจายอยู่ในสิ่งแวดล้อมจำนวนมาก การศึกษานี้ยังรอการตรวจทานผลงานอยู่

จากประเด็นที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น สรุปได้ว่า มีการรายงานการพบเชื้อและการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากคนในสัตว์เลี้ยง โดยแมวและเฟอร์เร็ตอาจมีความไวในการติดเชื้อมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามีการแพร่เชื้อกลับจากสัตว์เลี้ยงสู่คน แต่ถึงอย่างไรก็ตามสัตว์เลี้ยงอาจนำพาเชื้อไวรัสมาให้เราหรือคนอื่น ๆ ได้อีกทอดหนึ่ง

ดังนั้น วิธีปฏิบัติตนและดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 คือ เราควรรักษาความสะอาดสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด ควรล้างมือทั้งก่อนและหลังสัมผัสสัตว์หรือสัตว์เลี้ยง กลุ่มเสี่ยงที่ต้องกักตัวควรอยู่ห่างจากสัตว์หรือสัตว์เลี้ยงชั่วคราว หลีกเลี่ยงการปล่อยสัตว์เลี้ยงออกนอกบ้าน หากจำเป็นควรอาบน้ำสัตว์เลี้ยงก่อนเข้าบ้านทุกครั้ง และหากสัตว์เลี้ยงมีอาการทางระบบทางเดินหายใจร่วมกับระบบทางเดินอาหาร ควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการหาสาเหตุของโรค และยังไม่มีความจำเป็นต้องตรวจหาเชื้อในสัตว์เลี้ยงทุกตัว และขอความร่วมมือไม่นำสัตว์เลี้ยงไปปล่อยในที่สาธารณะ


       ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://pharmacy.mahidol.ac.th/

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2564

10 เรื่องควรรู้ เมื่อสร้างบ้านอยู่เอง


 

10 เรื่องควรรู้ เมื่อสร้างบ้านอยู่เอง

1. สำรวจทำเลที่ตั้งหรือที่ดินสำหรับปลูกสร้าง

พื้นที่ปลูกสร้างถือเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ของการสร้างบ้าน ผู้ปลูกสร้างบ้านเองควรคำนึงถึงความสะดวกสบายที่พื้นที่นั้นจะเอื้อประโยชน์และอำนวยความสะดวกให้มากที่สุด เช่น การเดินทางจากบ้านไปที่ทำงาน ไปสถานที่สำคัญต่างๆ การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ และความปลอดภัยของย่านที่อยู่อาศัย รวมถึงเส้นทางเข้าออกบ้านซึ่งทางที่ดีควรมีมากกว่า 1 เส้นทาง

2. ทิศทางแดด ลม การวางแปลนบ้าน

การวางทิศทางแสงแดด ลม ตำแหน่งแปลนบ้านที่ดี จะช่วยให้การอยู่อาศัยนั้นสะดวกสบาย ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า โดยทิศทางแสงแดดจะวิ่งเป็นแนวตะวันออกไปทางทิศใต้แล้วสิ้นสุดที่ทิศตะวันตก เหมาะสำหรับห้องที่สมาชิกในบ้านไม่ได้ใช้เวลาอยู่นานนัก หรือห้องที่ต้องการแสงแดดเพื่อลดความชื้น เช่น ห้องครัว ห้องน้ำ พื้นที่ซักล้าง ส่วนทิศเหนือเป็นมุมที่ไม่ถูกรบกวนจากแสงแดดมากสามารถวางตำแหน่งให้เป็นห้องนอน และห้องนั่งเล่นได้ ในเรื่องของทิศทางลม บ้านที่ดีควรหันด้านยาวของตัวบ้านเข้าหาลมเพื่อเพิ่มพื้นที่การรับลมธรรมชาติเข้าบ้าน ช่วยระบายความร้านภายใน และลดการใช้พลังงานจากเครื่องปรับอากาศ

3. จำนวนสมาชิกผู้พักอาศัย และความต้องการพื้นฐาน

จำนวนสมาชิกและความต้องการของผู้อยู่อาศัย มีผลต่อการออกแบบบ้าน จำนวนชั้น การจัดสรรพื้นที่ใช้สอย และการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์การก่อสร้าง โดยความต้องการนั้นควรมองทั้งความต้องการส่วนตัวของสมาชิกแต่ละคน ความต้องการโดยรวมเรื่องสไตล์บ้านและแนวคิดเรื่องบ้านที่ต้องการ เช่น บ้านประหยัดพลังงาน บ้านเพื่อผู้สูงอายุ บ้านสำหรับครอบครัวใหญ่ เพื่อการสร้างบ้านในฝันนั้นตอบโจทย์ทุกความต้องการ

4. ขนาดพื้นที่ใช้สอย

พื้นที่ใช้สอยมีผลต่อการตัดสินใจเลือกแบบบ้าน ควรดูรูปแบบและความสัมพันธ์ของห้องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก ห้องครัว ให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ ความต้องการของสมาชิกในบ้าน เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการพักอาศัยและการใช้งานได้มากที่สุด

5. งบประมาณสำหรับการสร้างบ้าน

งบประมาณคือปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจสร้างบ้าน การตั้งงบประมาณไว้อย่างรอบคอบและรัดกุมจะช่วยให้ได้บ้านที่ตอบโจทย์มากที่สุด และไม่เกิดปัญหางบบานปลายภายหลัง ทำให้เจ้าของบ้านมีคำตอบที่ชัดเจนและง่ายต่อการตัดสินใจสร้างบ้าน การเลือกแบบ วิธีการสร้าง ขนาดพื้นที่ รวมถึงการใช้จ่ายเพื่องานตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ สิ่งก่อสร้างหรือสิ่งอำนวยความสะดวกรอบบริเวณบ้าน และพื้นที่สวนด้วย

6. ช่วงเวลาและขั้นตอนของการสร้างบ้าน

การกำหนดระยะเวลาของการสร้างบ้าน จะช่วยให้สามารถวางแผนล่วงหน้าในงานก่อสร้างขั้นตอนต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ไร้ปัญหาระหว่างงาน เพราะหากระยะเวลาก่อสร้างยืดเยื้อ ช่วงเวลาการทำงานไม่เป็นระบบ ไม่รู้ขอบเขตงานที่แน่นอน อาจมีปัจจัยอื่นที่ก่อให้เกิดปัญหาลากยาวไม่สิ้นสุดตามมา เช่น ฤดูกาลทำให้บางขั้นตอนของงานสร้างใช้เวลามากกว่าปกติ การดำเนินการด้านเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างบ้านไม่รองรับขั้นตอนการดำเนินงาน รวมถึงการเตรียมงบประมาณสำหรับจ่ายในขั้นตอนต่างๆ สะดุด

7. ทำความเข้าใจแบบบ้านที่ต้องการ

เจ้าของบ้านส่วนใหญ่มีประสบการณ์การสร้างบ้านอยู่เองครั้งแรก แต่เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลักในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้าง งบประมาณ หรือปัญหาจิปาถะที่อาจเกิดขึ้นระหว่างงานก่อสร้าง ดังนั้นเพื่อให้ความต้องการที่จะสื่อสารกับสถาปนิก วิศวกร หรือคนทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น ได้ความเข้าใจตรงกัน เจ้าของบ้านควรให้เวลาศึกษา ทำความเข้าใจแบบบ้านที่ต้องการ เพื่อเป็นพื้นฐานความรู้ระหว่างการพูดคุยวางแผน ทำให้เกิดความราบรื่นมากขึ้น

8. การขออนุญาตปลูกสร้างบ้าน

เอกสารขออนุญาตปลูกสร้างบ้าน สามารถดำเนินการต่อสำนักงานเขตท้องถิ่นในพื้นที่ที่กำลังจะสร้างบ้านได้ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันการสร้างบ้านที่ถูกต้อง มีมาตรฐาน ไม่สร้างผลกระทบต่อผู้อื่น โดยเอกสารที่เกี่ยวข้องมีดังนี้

- เอกสารคำขออนุญาตก่อสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคารหรือรื้อถอนอาคาร (ข.1)

- แบบแปลนแผนผัง

- หนังสือรับรองว่าเป็นผู้ออกแบบ สถาปนิก วิศวกร พร้อมสำเนาใบอนุญาต

- สำเนาโฉนดที่ดินที่จะก่อสร้าง

- สำเนาบัตรประชาชน หรือทะเบียนบ้านเจ้าของอาคาร

9. เลือกใช้มืออาชีพอย่างบริษัทรับสร้างบ้าน

บ้านที่ตอบโจทย์ งบไม่บานปลาย และสร้างบ้านแล้วได้บ้านอย่างที่ใจหวังนั้น บริษัทรับสร้างบ้านยังคงเป็นทางเลือกครองใจคนสร้างบ้าน โดยก่อนตัดสินใจเลือกบริษัทรับสร้างบ้าน ควรทำความรู้จักแต่ละบริษัท เปรียบเทียบผลงาน ความน่าเชื่อถือ บริการก่อนและหลังสร้างบ้านเสร็จ การดูแลรักษา การตรวจสอบข้อบกพร่องการรับประกันโครงสร้างหลังสร้างบ้าน ใบอนุญาตการดำเนินงานและมาตรฐานของบริษัท รวมถึงเครือข่ายบริษัทวัสดุที่ใช้ในการดำเนินงานก่อสร้าง โดยควรใช้เวลาพิจารณาอย่างค่อยเป็นค่อยไป และรอบคอบมากที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดข้อยุ่งยากตามมาในภายหลัง

10. เยี่ยมชมงาน รับสร้างบ้าน FOCUS 2020

มหกรรมเปิดโลกงานสร้างบ้านที่เจ้าของบ้านไม่ควรพลาด เพราะนอกจากจะได้พบกับแบบบ้านกว่า 1,000 แบบ จากบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำแล้ว ยังได้อัพเดตข่าวสารที่ครอบคลุมทุกเรื่องการสร้างบ้าน แบบบ้านใหม่ๆ นวัตกรรมงานสร้างบ้าน รวมทั้งพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และไขข้อสงสัยต่างๆ กับสถาปนิกมืออาชีพได้อีกด้วย


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.hba-th.org