DeFi หรือ Decentralized
Finance ซึ่งเป็นแนวคิดทางการเงินแบบใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนมาทำหน้าที่บันทึกและดำเนินธุรกรรมแทนตัวกลางอย่างสถาบันการเงิน
ธนาคาร หรือศูนย์รับแลกเปลี่ยนต่างๆ ซึ่งจุดแข็งของ DeFi คือการบันทึกและดำเนินธุรกรรมอัตโนมัติ
สามารถบันทึกได้ทันทีที่มีการตกลงและมีความเสี่ยงต่อการโดนโจมตีและบิดเบือนข้อมูลในระบบที่ต่ำกว่า
ปัจจุบัน DeFi
มีบริการทางการเงินที่ครอบคลุมการใช้งานที่หลายคนคุ้นเคย เช่น
บัญชีเงินฝาก การกู้ยืมเงินระหว่างรายย่อย (Peer-to-Peer Lending) ไปจนถึงการประกันภัย ด้วยบริการแบบเดิมที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น
พร้อมกับแนวโน้มผลตอบแทนจากการลงทุนมีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์ม ทำให้ DeFi ขยายตัวอย่างรวดเร็วในปี 2020 ซึ่ง Bloomberg
ระบุว่า DeFi เป็นบริการทางการเงินที่เร่งมูลค่าของคริปโตเคอร์เรนซีให้สูงขึ้นถึง
66 เปอร์เซ็นต์ โดยเมื่อเดือนกันยายน 2020 สินทรัพย์ค้ำประกันในบริการของ DeFi มีมูลค่าอยู่ที่ราว
9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
เส้นทางสู่โลกการเงินในยุค
DeFi
ระบบการเงินในปัจจุบันเป็นการเงินแบบรวมศูนย์
หรือ Centralized
Finance ที่เรียกอย่างย่อว่า CeFi ซึ่งเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในสมัยศตวรรษที่ 17 เมื่อรัฐบาลอังกฤษประกาศจัดตั้งธนาคารกลางเพื่อออกธนบัตร
(Banknote) อ้างอิงกับสินทรัพย์มีค่าเพื่อควบคุมให้เงินตราอยู่ในระดับที่เหมาะสม
โดยมีบรรดาธนาคารเป็นผู้ดำเนินการแจกจ่ายธนบัตรให้ประชาชนใช้เป็นเงินตราอย่างทั่วถึง
ธนาคารเหล่านี้เองจึงถือเป็นตัวกลางที่คอยดำเนินการทางการเงินให้เราอย่างในปัจจุบัน
ต่อมาการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ผสานภาคอุตสาหกรรมต่างๆ
รวมถึงภาคการเงิน ทำให้ Financial Technology มีส่วนผลักดันโลกการเงินให้ก้าวไปอีกขั้น
หนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกจับตามากที่สุดคือบล็อกเชน
เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลอัตโนมัติที่สถาบันการเงินใช้ลดหรือรวบขั้นตอนดำเนินการ
ส่งผลให้ต้นทุนของธุรกรรมต่างๆ ลดลง
บริการได้รวดเร็วและมีขอบเขตกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม
ทั้งยังเป็นพื้นฐานสำคัญของคริปโตเคอร์เรนซี
สกุลเงินเข้ารหัสที่อยู่ในความสนใจของหลายๆ คน
อย่างไรก็ตาม
บล็อกเชนมีศักยภาพมากกว่าแค่ลดขั้นตอนดำเนินงานที่ตัวกลางทำระหว่างกัน
แต่ยังสามารถเข้ามาทำงานแทนหน้าที่หลักๆ ของตัวกลางได้เลย
ทำให้เกิดการพัฒนาบริการทางการเงินบนบล็อกเชนมากมาย ทั้งบัญชีเงินฝาก การโอนเงิน
การชำระเงิน สินเชื่อระหว่างรายย่อย ไปจนถึงการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์
จุดแข็งของโครงการเหล่านี้คือมีผลลัพธ์เหมือนกับการทำงานโดยตัวกลาง
ทุกธุรกรรมจะได้รับการยืนยันความถูกต้องและบันทึกลงในระบบทันที
มีการปกป้องตัวรายการธุรกรรมในระดับสูงผ่านการเข้ารหัสและการกระจายบัญชีที่ถูกต้องไปยังผู้ใช้ส่วนใหญ่ในระบบ
และที่สำคัญคือทุกคนในระบบมีสิทธิ์ทำธุรกรรมระหว่างกันด้วยตัวเอง
ไม่ต้องอาศัยการยืนยันจากตัวกลาง จึงเป็นที่มาของ
DeFi หรือ การเงินแบบกระจายศูนย์หรือ Decentralized
Finance นั่นเอง
ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการพัฒนาสู่
DeFi
แนวคิดการเงินแบบ DeFi ใช้คุณสมบัติจากเทคโนโลยีบล็อกเชน ไม่ว่าจะเป็น Distributed Ledger และ Smart Contract แน่นอนว่าด้วยความเป็นดิจิทัลทำให้สามารถต่อยอดและผสานกับเทคโนโลยีอื่นๆ ได้อีกมาก แต่หากถามถึงประโยชน์หลักๆ ที่จะเกิดขึ้นจากแนวคิด DeFi ในปัจจุบัน จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ข้อ ได้แก่
ใช้งานได้ทั่วโลกตั้งแต่แรก เดิมทีการทำบริการทางการเงินจะอยู่จำกัดบนเครือข่ายของตัวกลางเท่านั้น
กล่าวคือ หากตัวกลางไม่ได้เชื่อมเครือข่ายกับปลายทาง
เราก็ไม่สามารถทำธุรกรรมไปยังปลายทางนั้นได้ ต่างจาก DeFi ส่วนใหญ่ที่ใช้บล็อกเชนบนอินเทอร์เน็ต
ทำให้ทุกคนที่ใช้บริการระบบเดียวกันนี้สามารถใช้บริการได้จากทุกที่บนโลก
ทำงานอัตโนมัติได้ทุกขั้นตอน แม้จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีมากขึ้น
แต่การเงินแบบรวมศูนย์ก็ยังไม่สามารถทำงานเป็นอัตโนมัติได้ทุกขั้นตอน
ทำให้นอกจากจะมีต้นทุนแล้ว ยังอาจนำไปสู่ข้อผิดพลาดได้ ส่วน DeFi ยืนพื้นด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลมาตั้งแต่แรก และมักออกแบบให้ตัวกลางทำงานได้อัตโนมัติ
จึงทำงานได้แม่นยำกว่า
ต้นทุนธุรกรรมต่ำกว่า
ค่าบริการต่ำกว่า ผลตอบแทนน่าสนใจกว่า แนวคิด DeFi ใช้เทคโนโลยีที่มีความพร้อมทั้งการเข้าถึงและการทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อบันทึกธุรกรรม
โดยส่วนมากจึงมีค่าใช้จ่ายดำเนินการที่ต่ำกว่าการทำงานของตัวกลางแบบรวมศูนย์ที่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองตั้งแต่จัดทำโครงสร้างพื้นฐานจนถึงการสร้างระบบ
เมื่อต้นทุนธุรกรรมต่ำลง จึงสามารถกำหนดค่าบริการที่ต่ำกว่า
รวมถึงให้ผลตอบแทนอย่างดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงกว่าเดิมได้
ขยายขีดจำกัดของโลกการเงิน เมื่อ DeFi มีพื้นฐานมาจากเทคโนโลยีดิจิทัล
ทุกคนจึงมีส่วนร่วมกับการทำงานของระบบได้มากกว่าที่เคย
ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเงื่อนไขผ่าน Smart Contract ทำให้การกู้เงินหรือการเคลมประกันภัยเป็นไปโดยอัตโนมัติ
การแบ่งสิทธิถือครองหลักทรัพย์ในหน่วยย่อยกว่าเดิมทำให้เข้าถึงนักลงทุนได้มากขึ้น
หรือการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ระหว่างกันด้วยค่าธรรมเนียมดำเนินการที่ต่ำลง
CeFi และ
DeFi กับข้อถกเถียงถึงมาตรฐานการดูแลด้านการเงิน
แม้ว่า DeFi
จะเป็นแนวคิดทางการเงินที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ
แต่ก็ใช่ว่าแนวคิดนี้จะเป็นที่ยอมรับสำหรับทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้กำกับดูแลที่ต้องเผชิญความท้าทายในการป้องกันธุรกรรมไม่พึงประสงค์
เนื่องจากระบบการเงินแบบ
CeFi
สิทธิการบันทึกและจัดการทั้งหมดจะอยู่ที่บรรดาผู้ให้บริการทางการเงิน
ซึ่งหากเป็นธุรกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เช่น เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย
ผู้กำกับดูแลจะสามารถควบคุมผ่านตัวกลางได้โดยตรง
จึงระงับเหตุและยับยั้งความเสียหายได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้หากธุรกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นบนระบบ DeFi ผู้กำกับดูแลอาจไม่สามารถควบคุมความเสียหายผ่านการทำงานร่วมกับตัวกลางได้
ทำให้หลายประเทศยังชะลอโครงการทางการเงินแบบ DeFi และสนับสนุนกับการเพิ่มประสิทธิภาพของ
CeFi แทน
อย่างไรก็ตาม
การรวมศูนย์การควบคุมดูแลทั้งหมดไว้ที่ตัวกลางก็เป็นความเสี่ยงไม่แพ้กัน
เนื่องจากผู้กระทำผิดสามารถโจมตีระบบของตัวกลางได้โดยตรง
อันจะนำมาสู่ความเสียหายที่รุนแรงจนถึงขั้นที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจได้
โดยธนาคารกลางยุโรปอ้างอิงรายงานประเมินว่าหากเกิดการโจมตีทางไซเบอร์ไปยังธนาคารสำคัญของโลก
อาจนำมาสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงถึง 654
พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และแน่นอนว่า DeFi ซึ่งใช้คุณสมบัติกระจายศูนย์ของข้อมูลจะสามารถลดความเสี่ยงจากการโจมตีรูปแบบดังกล่าว
เชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านคงตื่นเต้นกับศักยภาพในอนาคตของ
DeFi
ไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่น่าติดตามเกี่ยวกับแนวคิด
DeFi อีกมากมาย