เป็นภาวะที่มีการหยุดหายใจเป็นระยะๆหรือมีการหายใจตื้นๆสลับกับการหายใจที่เป็นปกติในระหว่างที่นอนหลับ
ซึ่งช่วงการหยุดหายใจดังกล่าวอาจเป็นเพียงไม่กี่วินาทีหรืออาจยาวเป็นนาทีก็ได้
โดยมักเกิด 5-30 ครั้งหรือมากกว่าในเวลา 1 ชั่วโมง
ส่งผลให้นอนหลับได้ไม่เต็มที่ และมีอาการง่วงมากผิดปกติในช่วงระหว่างวันตามมา
ซึ่งอาจนำมาสู่การเกิดอุบัติเหตุได้ เช่น การหลับขณะขับรถ เป็นต้น
รวมทั้งสมาธิและความจำก็จะลดลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงไปด้วย
โดยส่วนใหญ่แล้วภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่พบนั้นจะเป็นประเภทที่มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจ
(obstructive sleep apnea) มีสาเหตุมาจากการคลายตัวของกล้ามเนื้อที่ทางเดินหายใจ
การหนาตัวของเนื้อเยื่อผนังคอในผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาก การโตของต่อมทอนซิลในเด็ก
หรือภาวะเนื้องอกบริเวณทางเดินหายใจ เป็นต้น
ซึ่งการที่อากาศต้องเดินทางผ่านทางเดินหายใจที่แคบลงสามารถก่อให้เกิดเสียงกรนขึ้นได้
อีกประเภทหนึ่งที่พบได้น้อยกว่านั่นคือ
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับเนื่องความผิดปกติของการสั่งงานของสมอง (central sleep
apnea) ภาวะนี้สมองส่งสัญญาณควบคุมที่ผิดปกติไปยังกล้ามเนื้อในระบบทางเดินหายใจ
ทำให้เกิดการหยุดหายใจชั่วครู่
อันตรายหรือไม่? หายานอนหลับมารับประทานเองได้หรือไม่?
การหยุดหายใจขณะหลับทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลง
ส่งผลให้สมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ จึงมีการกระตุ้นร่างกายให้ตื่นขึ้นมาเพื่อหายใจ
เมื่อเกิดการหยุดหายใจบ่อยๆ
ผู้ป่วยจึงหลับๆตื่นๆตลอดคืนและไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ
ทำให้รู้สึกว่าตนเองนอนไม่หลับและตื่นขึ้นมาไม่สดชื่น
จากระดับออกซิเจนในเลือดที่ลดลงประกอบกับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
ทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด
ส่งผลเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ และมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงของภาวะความดันโลหิตสูง
หัวใจเต้นผิดจังหวะ และหัวใจวาย
นอกจากนี้ภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่ไม่ได้รับการรักษายังสามารถนำไปสู่การใช้พลังงานของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป
จึงเพิ่มความเสี่ยงของภาวะอ้วนและเบาหวาน
จากที่กล่าวมาข้างต้น
ผู้ป่วยบางรายที่รู้สึกว่าตนเองนอนไม่หลับนั้นจะพยายามหายานอนหลับมารับประทางเองเพื่อให้นอนหลับได้ดีขึ้น
ซึ่งยานอนหลับบางชนิดที่ออกฤทธิ์กดประสาทแรง เช่น midazolam, alprazolam และ diazepamจะมีผลกดการกระตุ้นของร่างกายที่ทำให้ตื่นขึ้นเมื่อระดับออกซิเจนในเลือดลดต่ำลง
ดังนั้นการใช้ดังกล่าวอาจทำให้ผู้ป่วยถึงกับเสียชีวิตจากการหยุดหายใจได้
เพราะฉะนั้นแล้วจึงไม่ควรหายามาใช้เอง
ปัจจัยเสี่ยงมีอะไรบ้าง?
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
และมีการพบสูงขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
ผู้หญิงมักเริ่มมีภาวะนี้เมื่อตั้งครรภ์และเข้าสู่วัยทอง
นอกจากนี้บุคคลที่มีโครงสร้างของระบบทางเดินหายใจแคบ
ไม่ว่าจะเพราะโครงสร้างแต่กำเนิด ภูมิแพ้ หรือผลจากการใช้ยาบางชนิด มีแนวโน้มที่จะมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับมากกว่าปกติ
จะสังเกตได้อย่างไร?
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับนี้
สามารถสังเกตเบื้องต้นได้จากอาการต่อไปนี้
- การกรน
ถือเป็นอาการหลักเนื่องจากการเกิดเสียงกรนเป็นลักษณะที่พบมากในผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับประเภทที่มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจ
และประเภทดังกล่าวเป็นประเภทที่พบได้มากดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น แต่มิได้หมายความว่าผู้ที่มีอาการกรนทุกคนจะมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ การกรนที่เกิดขึ้นอาจมีการหยุดเป็นช่วงๆร่วมกับการสำลักซึ่งการสังเกตดังกล่าวต้องอาศัยคนในครอบครัวหรือคนรอบตัวเป็นผู้สังเกต
- อาการอ่อนล้าเมื่อตื่นนอนตอนเช้า
หรือรู้สึกว่านอนไม่เต็มอิ่มทั้งๆที่นอนพักผ่อนเต็มที่แล้ว
- อาการง่วงมากผิดปกติในช่วงระหว่างวัน
จนทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานหรือเรียนลดลง
- ในเด็กอาจหงุดหงิดง่าย
สมาธิจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งสั้น ท่านอนผิดปกติ หรือปัสสาวะราดที่นอนในเวลากลางคืน
ควรปฏิบัติตนอย่างไร?
เมื่อเริ่มสังเกตหรือสงสัยว่าอาจมีภาวะดังกล่าว
ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
มีวิธีการรักษาหรือไม่? อย่างไรบ้าง
วิธีการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับมีหลากหลายตั้งแต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การใช้เครื่องมือช่วยให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น ไปจนถึงการผ่าตัด
ซึ่งการตัดสินใจเลือกใช้วิธีใดนั้นต้องพิจารณาตามความเหมาะสมตามแต่ละบุคคล
จึงควรได้รับการดูแลจากแพทย์
1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ห้ามใช้ยาที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางแรง เช่น
ยานอนหลับ ยากล่อมประสาทบางชนิด
- ควบคุมน้ำหนักหากมีภาวะน้ำหนักเกิน
- เปลี่ยนท่าทางในการนอนเป็นท่านอนตะแคง
หลีกเลี่ยงท่านอนหงาย
เนื่องจากอาจทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจได้ง่ายกว่าท่านอนตะแคง
เลิกการสูบบุหรี่
2. การใช้เครื่องมือ
- อุปกรณ์ mouthpieceช่วยปรับให้กรามล่างและลิ้นอยู่ในลักษณะที่ไม่ปิดกั้นทางเดินหายใจขณะนอนหลับ
- เครื่องมือcontinuous positive airway pressure (CPAP) ลักษณะเป็นหน้ากากที่จะให้ลมที่ความดันเป็นบวกออกมา
ทำให้ทางเดินหายใจไม่เกิดการอุดกั้น
3. การผ่าตัด
ต้องอยู่ภายใต้ดุลยพินิจและการดูแลของแพทย์