วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2565

พยาธิใบไม้และปัจจัยเสี่ยงมะเร็งตับ


 รองศาสตราจารย์ แม้นสรวง วุฒิอุดมเลิศ

ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

พยาธิใบไม้เป็นพยาธิตัวแบนชนิดหนึ่งซึ่งอาจเหนี่ยวนำให้เกิดมะเร็งตับในคนได้ มีผู้ป่วยจำนวนมากในประเทศไทยที่เป็นมะเร็งตับจากพยาธิใบไม้ ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งด้านสุขภาพ แรงงาน เศรษฐกิจ


เราสามารถแบ่งกลุ่มพยาธิโดยอาศัยรูปร่างลักษณะได้เป็น 2 แบบใหญ่ ได้แก่ พยาธิตัวกลม (nematodes) และพยาธิตัวแบน ที่แบนเป็นเส้นยาว (cestodes) และแบนคล้ายใบไม้ (trematodes) ที่เรามักเรียกว่าพยาธิใบไม้ อัตราการก่อโรคจากพยาธิทั้งสามชนิดที่พบในเมืองไทยจะต่างกันไปตามภูมิภาค

องค์การอนามัยโลกได้รายงานเกี่ยวกับโรค foodborne trematodiases ซึ่งเป็นโรคพยาธิใบไม้ที่ได้รับมาจากอาหาร โดยกล่าวว่ามีประชากร 56 ล้านคนทั่วโลกซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และอัฟริกาใต้ ที่ทนทุกข์ทรมานจากอาการของโรคนี้เนื่องจากตับอักเสบอันมีสาเหตุจากพยาธิใบไม้ ในอาหารที่รับประทาน

พยาธิใบไม้ที่พบมากในไทยชนิดหนึ่งคือพยาธิใบไม้ตับ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Opisthorchis viverrini (รูปที่ 1) โรคพยาธิใบไม้ตับ พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของประเทศไทย แม้ว่าจะมียาแผนปัจจุบันในการรักษา แต่การป้องกันตัวเองจากการรับพยาธิเข้าสู่ร่างกายโดยเฉพาะพยาธิจากอาหารนั้นอยู่ในวิสัยที่ทำได้ เพราะการที่จะได้รับพยาธิใบไม้ที่สามารถก่อโรคได้นั้น สัตว์หรือเนื้อสัตว์ที่เป็นพาหะต้องอยู่ในระยะที่เรียกว่า "ระยะติดต่อ" (infective stage) ในที่นี้ ตัวพยาธิจะอยู่ในระยะที่เรียกว่า metacercaria ที่พบในเนื้อปลาหลายชนิดในตระกูลปลาตะเพียน



การได้รับพยาธิ เมื่อคน/สัตว์ กินปลาดิบที่ไม่ได้ทำให้สุกด้วยความร้อน (การปรุงโดยใช้น้ำส้มหรือบีบมะนาวทำให้เนื้อปลาอยู่ในสภาพคล้ายสุก แต่ไม่สามารถทำลายระยะติดต่อได้ทั้งหมด) ระยะติดต่อจะเข้าสู่กระเพาะ ไปที่ถุงน้ำดี-ท่อน้ำดีได้ใน 5 ชั่วโมง ต่อมาจะพัฒนาเป็นตัวเต็มวัยที่ท่อน้ำดี หลังจากพยาธิสร้างไข่และขับออกมาพร้อมอุจจาระ เมื่อไข่พยาธิลงสู่แหล่งน้ำ ตัวอ่อนในไข่ (miracidium) จะเข้าสู่หอยน้ำจืด เจริญเป็นระยะ sporocyst --> radiae --> cercaria --> เข้าสู่ปลาจนได้ระยะติดต่อ metacercaria อีกครั้ง (รูปที่ 2)



อาการ ผู้ที่มีพยาธิใบไม้จำนวนน้อยอาจไม่พบอาการผิดปรกติใดๆ หรืออาจมีอาการท้องอืดเฟ้อบ้าง แต่เมื่อได้รับพยาธิเพิ่มและนานวันเข้าจะพบอาการร้อนท้อง เบื่ออาหาร ท้องมาน ตับโต กดเจ็บบริเวณใต้ชายโครงด้านขวา เมื่อรุนแรงขึ้นจะมีอาการดีซ่าน มีไข้ต่ำ ตัวเหลืองตาเหลือง บางครั้งพยาธิไปขวางทางเดินท่อน้ำดีทำให้ท่ออุดตัน มีการอักเสบติดเชื้อแทรกซ้อนมีไข้สูงได้

การตรวจวินิจฉัย จากการตรวจหาไข่ที่มีลักษณะจำเพาะจากอุจจาระผู้ป่วย หรือวิธีทางวิทยาภูมิคุ้มกัน

การรักษา การใช้ยา Praziquantel ที่ผลการรักษาหายสูงถึงร้อยละ 95 แต่ต้องไม่รับระยะติดต่อพยาธิอีก

พยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ในปี 2506 พบหลักฐานจากงานวิจัยถึงความสัมพันธ์ของพยาธิใบไม้ ตับและมะเร็งท่อน้ำดีในผู้ป่วยไทย ทำให้เกิดการศึกษาอย่างกว้างขวางด้านปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เช่น จำนวนพยาธิในตับ ความถี่ในการดื่มแอลกอฮอล์ ประวัติการกินยาขับพยาธิ จนถึงความแปรปรวนของลำดับเบสของเอนไซม์บางชนิดของผู้ป่วย เป็นต้น ทั้งนี้หน่วยงาน International Agency for Research on Cancer (IARC) ในหัวข้อ Monograph on the evaluation of carcinogenic risk to humans จัดให้การก่อมะเร็งของพยาธิใบไม้ตับ Opisthorchis viverrini และ Clonorchis sinensis (ที่พบมากในภูมิภาคอื่น) อยู่ในกลุ่ม 1 คือ ก่อมะเร็งได้ในคน (carcinogenic to humans) (Agents classified by the IARC Monographs, Vol.61,100B 2012) ในขณะที่การที่มีพยาธิ Opisthorchis felineus จัดอยู่ในกลุ่ม 3 (IARC Monographs, Vol.61, 1994) ปัจจัยที่ส่งเสริมการเกิดมะเร็งจากการมีพยาธิใบไม้ในร่างกาย โดยเฉพาะการมีพยาธิอยู่เป็นระยะเวลานานนั้น ได้แก่
  • การอักเสบเรื้อรังตามกระบวนการธรรมชาติ มีการหลั่งสารที่เรียกว่าไซโตไคน์ เป็นภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้ป่วยที่ต้านต่อการก่อโรค
  • การสร้างอนุมูลอิสระปริมาณมาก ขณะเดียวกันก็มีผลในการทำลายดีเอ็นเอของเซลล์ผู้ป่วย จนเกินความสามารถในการซ่อมแซม ทำให้สารพันธุกรรมเกิดการผ่าเหล่ามีความผิดปรกติเกิดขึ้น
  • การดำรงชีพของพยาธิในตำแหน่งที่ไปเติบโตอยู่ มีการสร้างสารคัดหลั่ง การขยับเคลื่อนตัว ทำให้เกิดการระคายเคือง เซลล์เยื่อยุผิวท่อน้ำดีหลุดลอกช่วยกระตุ้นให้แบ่งตัว เยื่อบุจึงหนาขึ้น เกิดการคั่งของน้ำดีที่อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียตามมา
  ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://healthydee.moph.go.th