วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ฝีดาษลิง (Monkeypox)....รู้ไว้ไม่ตระหนก

 


ในปี 2565 นอกเหนือจากการระบาดต่อเนื่องของโรคโควิด-19 แล้ว ยังมีโรคติดเชื้อไวรัสอีกชนิดหนึ่งที่มีการระบาดในช่วงนี้เช่นกันคือโรคฝีดาษวานรหรือฝีดาษลิง (Monkeypox) ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับโรคฝีดาษลิงเพื่อเป็นข้อมูลในการระวังและป้องกันตนเองต่อไป

โรคฝีดาษวานรหรือฝีดาษลิง (Monkeypox) มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิง (Monkeypox virus) ไวรัสชนิดนี้อยู่ใน Family Poxviridae และ Genus Orthopoxvirus ซึ่งมีความใกล้เคียงกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ (smallpox) ในคนแต่โรคฝีดาษลิงจะมีอาการรุนแรงน้อย




ภาพจาก : https://scitechdaily.com/images/Monkeypox.jpg

การระบาดของโรคฝีดาษลิงพบมากในประเทศแถบแอฟริกากลางและตะวันตกรวมถึงประเทศอื่น ๆ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อิสราเอล ไนจีเรีย อินเดีย อังกฤษและสิงคโปร์ เป็นต้น โดยในการระบาดใหญ่ในปี 2022 พบว่ามีการระบาดในหลายประเทศที่ไม่เคยเป็นแหล่งระบาดในอดีตมาก่อน ปัจจุบัน (ข้อมูลวันที่ 12 สิงหาคม 2565 จากเว็บไซต์ 2022 Monkeypox Outbreak Global Map ของ CDC) มีรายงานผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงมากกว่า 30,000 รายใน 89 ประเทศทั่วโลก โดยในประเทศไทย (ข้อมูลวันที่ 15 สิงหาคม 2565) มีรายงานยืนยันผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงทั้งสิ้น 5 ราย ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ 2 รายและชาวไทย 3 ราย

ปัจจุบันโรคฝีดาษลิงจัดเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern หรือ PHEIC) ตามประกาศขององค์การอนามัยโลกเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2565 นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยได้กำหนดโรคฝีดาษลิงเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวังตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2565

สายพันธุ์ของเชื้อไวรัสฝีดาษลิงที่มีรายงานการระบาดมี 2 สายพันธุ์ได้แก่ สายพันธุ์ Central African (Congo Basin) clade และ West African clade โดยสายพันธุ์ Central African clade จะทำให้เกิดอาการที่รุนแรงและอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าโดยมีอัตราป่วยตายอยู่ที่ร้อยละ 10 ในขณะที่ West African clade จะมีอัตราป่วยตายอยู่ที่ร้อยละ 1 ต่อมาองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดการเรียกชื่อสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสฝีดาษลิงใหม่ (ข้อมูลวันที่ 12 สิงหาคม 2565) โดยเรียกไวรัสสายพันธุ์ Central African clade เป็น Clade I ในขณะที่เรียกไวรัสสายพันธุ์ West African clade เป็น Clade II นอกจากนี้ไวรัสในกลุ่ม Clade II ยังแบ่งเป็น Clade IIa และ Clade IIb ตามลำดับ โดยสายพันธุ์หลักที่พบการระบาดในปี พ.ศ. 2565 หรือ ค.ศ. 2022 อยู่ในกลุ่ม Clade IIb

การติดต่อของโรคฝีดาษลิง

  1. การติดต่อจากสัตว์สู่คน ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่งรวมถึงแผลและรอยโรคตุ่มหนองที่ผิวหนังหรือเยื่อเมือกของสัตว์ที่ติดเชื้อ การรับประทานเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก โดยสัตว์ที่เป็นแหล่งรังโรคหรือกักโรคคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กโดยเฉพาะสัตว์ในตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะต่าง ๆ เช่น หนู กระรอก กระต่ายเป็นต้น
  2. การติดต่อจากคนสู่คน ผ่านการสัมผัสใกล้ชิด สัมผัสโดยตรง หรือสัมผัสกับสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจ น้ำลาย/น้ำมูก ตุ่มแผลหรือรอยโรคของผู้ป่วย การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ที่มีเชื้อ อย่างไรก็ตามปัจจุบันการติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดในปัจจุบัน ซึ่งโอกาสการแพร่เชื้อจากคนสู่คนมักมาจากการสัมผัสใกล้ชิดกับคนที่เป็นโรค

นอกจากนี้การมีเพศสัมพันธ์อาจเป็นหนึ่งในการถ่ายทอดเชื้อได้รวมถึงการมีคู่นอนหลายคนก็ถือเป็นอีกความเสี่ยงในการติดเชื้อได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาการของโรคฝีดาษลิง

  1. ระยะฟักตัว 5-21 วันนับจากวันที่สัมผัส
  2. อาการ

    ผู้ติดเชื้อจะมีไข้ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย โดยอาการที่เป็นลักษณะเด่นของโรคฝีดาษลิงเมื่อเทียบกับไข้ออกผื่นชนิดอื่นที่ใกล้เคียงกันคือต่อมน้ำเหลืองโต โดยตุ่มหรือผื่นที่ผิวหนังมักเกิดขึ้นภายใน 1-3 วันหลังจากมีไข้หรือหลังช่วงไข้ลดลง ในผู้ป่วยบางรายอาจมีผื่นขึ้นนำมาก่อน ตุ่มหรือผื่นที่เกิดขึ้นมักพบที่ใบหน้าและกระจายไปส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเช่น แขนและขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า นอกจากนี้ยังพบบริเวณลำตัว เยื่อบุในช่องปาก ศีรษะ เยื่อบุดวงตา อวัยวะเพศและรอบทวารหนัก ลักษณะของผื่นจะมีตั้งแต่ ผื่นที่แบนราบไปกับผิวหนัง ตุ่มนูนขึ้นจากผิวหนัง ตุ่มน้ำใส ตุ่มหนอง จนถึงตุ่มที่แห้งและตกสะเก็ดหลุดออกมา ผู้ป่วยจะถูกแยกกักเป็นเวลา 21 วันหรือจนพ้นระยะแพร่เชื้อคือ ทุกรอยโรคได้แก่ผื่นและตุ่มบนร่างกายแห้ง ตกสะเก็ดและสะเก็ดหลุดออกรวมถึงมีผิวหนังปกติข้างใต้ ดังนั้นถ้ามีอาการหรือสงสัยเข้ากับโรคฝีดาษลิงควรพบแพทย์และแยกตัวทันที

โดยมากโรคนี้จะมีอาการไม่รุนแรงและมักหายได้เองภายใน 2-4 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามอาการรุนแรงสามารถพบได้ในผู้ป่วยเด็กรวมถึงผู้ที่มีภาวะการทำงานของภูมิคุ้มกันผิดปกติหรือลดลง อาการแทรกซ้อนที่พบได้คือ การติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงซ้ำ การติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ หลอดลมและปอดอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด ไข้สมองอักเสบ ที่อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ รวมทั้งอาจเกิดการติดเชื้อที่ดวงตาที่ทำให้เสี่ยงต่อภาวะตาบอด อย่างไรก็ตามอัตราการตายของโรคนี้ค่อนข้างต่ำโดยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 5 การวินิจฉัย

การวินิจฉัยโรคฝีดาษลิงจะอาศัยการซักประวัติเดินทางไปพื้นที่เสี่ยง ประวัติการสัมผัสโรครวมถึงอาการของผู้ป่วยร่วมกับการตรวจร่างกายโดยแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลักษณะและตำแหน่งของผื่นและตุ่มรวมถึงการมีภาวะต่อมน้ำเหลืองโตหรือไม่

การตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการจะเก็บตัวอย่างจากบริเวณตุ่มแผล ตุ่มหนอง สะเก็ดแผลจากบริเวณที่ติดเชื้อเช่นผิวหนังหรือในช่องปากไปตรวจหาเชื้อไวรัสฝีดาษลิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสด้วยวิธีทาง อณูชีววิทยาเช่น polymerase chain reaction หรือ PCR นอกจากนี้ยังสามารถตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสฝีดาษลิงจากเลือดได้เช่นกัน ในขณะที่การเพาะแยกเชื้อไวรัสมักทำในงานวิจัยและต้องอาศัยห้องปฏิบัติการที่มีความจำเพาะ มีมาตรฐานและความปลอดภัยสูง

การรักษา

การรักษาผู้ป่วยฝีดาษลิงเป็นการรักษาตามอาการของผู้ป่วยเช่น ลดไข้ ลดความไม่สบายจากตุ่มหนองรวมถึงป้องกันภาวะแทรกซ้อนและผลกระทบระยะยาวหลังหายจากโรค นอกจากนี้ต้องระวังไม่ให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำบริเวณตุ่มแผล ปัจจุบันยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโรคฝีดาษลิงคือ Tecovirimat (TPOXX) โดยมักให้ในผู้ป่วยติดเชื้อที่มีอาการรุนแรง

การป้องกัน

  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อ
  2. หมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลบ่อย ๆ
  3. สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง
  4. หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัดและเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยเข้าข่ายหรือผู้ป่วยยืนยันโรคฝีดาษลิง
  5. รับประทานเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุก หลีกเลี่ยงการทานเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก
  6. ถ้ามีประวัติเสี่ยงสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อควรแยกตัวและพบแพทย์ทันทีถ้ามีอาการเข้ากันได้กับโรคฝีดาษลิง

ทั้งนี้ในผู้ที่สัมผัสหรือมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อจะต้องแยกสังเกตอาการหรือกักตัวเป็นเวลา 21 วัน ปัจจุบันมีวัคซีนที่ได้รับอนุญาตในสหรัฐอเมริกาคือ JYNNEOS นอกจากนี้ยังสามารถใช้วัคซีนไข้ทรพิษในการป้องกันโรคฝีดาษลิงได้โดย มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคร้อยละ 85


  ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://healthydee.moph.go.th