จากการศึกษาความชุกของอาการจมูกไม่ได้กลิ่นในประชากรทั่วไป พบว่า มีผู้ป่วยที่สูญเสียความสามารถในการรับกลิ่นอย่างสิ้นเชิง (anosmia) มีประมาณร้อยละ 5 และผู้ป่วยที่มีความสามารถในการรับกลิ่นลดลง (hyposmia) มีประมาณร้อยละ 13-16 ปัจจุบันการศึกษาได้ขยายวงกว้างมากขึ้น ทำให้ทราบว่าปัญหาความผิดปกติของการรับกลิ่นเป็นสัญญาณเริ่มต้นและตัวบ่งชี้ของโรคภัยไข้เจ็บบางชนิด และพบว่าความผิดปกติเรื่องกลิ่นและรสมักจะเกิดร่วมกับโรคหลายชนิด เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมทั้งโรคที่เกี่ยวกับความเสื่อมของระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน, โรคอัลไซเมอร์, โรคอ้วน, และโรคขาดสารอาหาร เป็นต้น
แม้ความผิดปกติในการรับกลิ่นจะพบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคจมูกและโรคทางระบบประสาท แต่ก็ยังขาดความสนใจทั้งจากแพทย์และผู้ป่วย เนื่องจากการประเมินความผิดปกติดังกล่าวทำได้ยาก และเข้าใจว่าไม่มีทางรักษาให้หายได้ จึงทำให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาการรับกลิ่นไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและเหมาะสม ยิ่งกว่านั้นการสูญเสียสมรรถภาพในการรับกลิ่นยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอีกด้วย
ในประเทศไทยคลินิกการรับกลิ่นและรส สาขาวิชาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้เปิดให้บริการตรวจรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาการรับกลิ่นและรสเป็นแห่งแรก ในปี พ.ศ.2545 จนถึงปัจจุบัน สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความผิดปกติในการรับกลิ่น ได้แก่ อุบัติเหตุที่ศีรษะ, การติดเชื้อไวรัสจากการเป็นหวัด และโรคของจมูกและไซนัส (เช่น จมูกอักเสบภูมิแพ้ จมูกอักเสบชนิดไม่แพ้, ไซนัสอักเสบ, ริดสีดวงจมูก และเนื้องอก) โดยแพทย์สามารถตรวจหาความผิดปกติในการรับกลิ่นของผู้ป่วยได้ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จากการทดสอบสมรรถภาพการรับกลิ่น (smell test) ซึ่งจะมีสารให้กลิ่นและวิธีการทดสอบที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ผู้ป่วยที่จมูกไม่ได้กลิ่นหรือได้กลิ่นน้อยลงจึงควรไปปรึกษาแพทย์โดยเริ่มจากการซักประวัติ และตรวจร่างกาย โดยเฉพาะจมูก และส่งการสืบค้นเพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุของความผิดปกติในการรับกลิ่น การซักประวัติที่ดีมักจะทำให้แพทย์ได้ทราบสาเหตุที่อาจจะเป็นไปได้เบื้องต้น ก่อนที่จะตรวจร่างกายผู้ป่วย ผู้ป่วยทุกรายควรได้รับการทดสอบการรับกลิ่น (smell test) และการส่องกล้องตรวจในโพรงจมูก (nasal endoscopy) ผู้ป่วยอาจได้รับการสืบค้นเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของการรับกลิ่นที่ผิดปกติ เช่น การตรวจเลือดเพื่อหาความผิดปกติของภาวะโภชนา การและต่อมไร้ท่อ, การตรวจทางรังสี เช่น การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography : CT) หรือ เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging : MRI) ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น ถ้าสงสัยว่าความผิดปกติของการรับกลิ่นมีสาเหตุเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท
เนื่องจากสาเหตุของการรับกลิ่นที่ผิดปกติเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้นการรักษาจึงต้องรักษาตามสาเหตุ เช่น ถ้าผู้ป่วยมีการสูญเสียการรับกลิ่นจากโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ และชนิดไม่แพ้, ไซนัสอักเสบ, ริดสีดวงจมูก ให้รักษาตาม clinical practice guideline (CPG) ของแต่ละโรค การดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการรับกลิ่นมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงหลายประการ ได้แก่ สาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติของการรับกลิ่น ความคาดหวังของผู้ป่วยเกี่ยวกับผลการรักษา การให้ข้อมูลบางอย่างแก่ผู้ป่วยเพื่อบอกพยากรณ์โรค เช่น สาเหตุ ระยะเวลาที่เกิด และระดับความรุนแรงของความผิดปกติของการรับกลิ่น รวมถึงเพศ อายุ และโรคร่วมอื่นๆ ด้วย แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และติดตามความผิดปกติของการรับกลิ่นในระยะยาว การรักษาประกอบด้วย
ติดตั้งเครื่องตรวจจับควัน (smoke detector) ที่เพดานห้อง (ทุกห้อง ถ้าเป็นไปได้ อย่างน้อย ควรติดห้องที่ผู้ป่วยนอน) และควรจดวัน และเวลาในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ของเครื่องตรวจจับควันดังกล่าวไว้ด้วย จะได้ทราบวันที่จะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ก้อนใหม่
- ติดตั้งเครื่องฉีดน้ำที่เพดาน (fire sprinkler) ที่เพดานห้อง ในกรณีไฟไหม้ เครื่องมือจะได้ฉีดน้ำดับไฟอัตโนมัติ (ถ้าติดได้ทุกห้อง ยิ่งดี อย่างน้อย ควรติดห้องที่ผู้ป่วยนอน)
- เวลาเก็บอาหารเข้าตู้เย็น ควรมีฉลาก หรือกระดาษติดภาชนะที่เก็บอาหารไว้ด้วย และเขียนวันและเวลาที่นำอาหารเก็บเข้าตู้เย็น จะได้ทราบว่าเก็บไว้นานเพียงใด และสมควรจะกินหรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจ ไม่ควรกิน เพราะอาจป่วยจากอาหารเป็นพิษ
2. การฝึกดมกลิ่น (olfactory training) เซลล์ประสาทรับกลิ่น (olfactory neuron) มีการเพิ่มจำนวนและเกิดขึ้นมาใหม่ได้ (neuroplasticity) และการฝึกดมกลิ่นที่ผู้ป่วยคุ้นเคยบ่อยๆ (olfactory training) จะเพิ่มความสามารถในการรับกลิ่น และเพิ่มจำนวนของเซลล์ประสาทรับกลิ่นได้ ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสที่จะกลับมาได้กลิ่น (กรณีพยาธิสภาพนั้น ทำให้จมูกไม่ได้กลิ่น) หรือมีโอกาสที่จะได้กลิ่นมากขึ้น (กรณีพยาธิสภาพนั้น ทำให้จมูกได้กลิ่นน้อยลง) มากกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้ฝึกดมกลิ่นที่ผู้ป่วยคุ้นเคยบ่อยๆ อย่างชัดเจน
เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าการรับกลิ่นเป็นเรื่องสำคัญ หากเมื่อใด ท่านหรือคนรอบข้างเริ่มมีความผิดปกติของการรับกลิ่น หรือการรับกลิ่นเปลี่ยนไป ไม่ควรนิ่งนอนใจและปล่อยทิ้งไว้ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุโดยเร็ว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://healthydee.moph.go.th