วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2565

ยากับวัคซีนโควิด-19 : มีผลกระทบต่อกันอย่างไร?


 วัคซีนเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เมื่อให้เข้าสู่ร่างกายจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรค เช่น วัคซีนโควิด-19 ให้เพื่อป้องกัน "โควิด-19 (COVID-19)" ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อที่ทางเดินหายใจ เกิดจากโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ คือ "2019-nCoV (2019 novel coronavirus)" หรือ "SARS-CoV-2" เริ่มเกิดการระบาดที่เมืองอู่ฮั่นในประเทศจีน (Wuhan, China) เมื่อเดือนธันวาคมปี พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) มาจนถึงขณะนี้ การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 เริ่มตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2563 และเริ่มทดลองนำมาใช้ช่วงปลายปี พ.ศ. 2563 การออกฤทธิ์ของวัคซีนในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันมีความซับซ้อน การใช้ยาบางชนิดซึ่งการออกฤทธิ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ได้ ในทางกลับกันในกระบวนการสร้างภูมิคุ้มกันของวัคซีนมีการกระตุ้นการหลั่งไซโตไคน์ซึ่งอาจส่งผลกระต่อประสิทธิภาพของยาบางชนิดได้ ในบทความนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างภูมิคุ้มกันของวัคซีนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการออกฤทธิ์ของยาที่จะกล่าวถึง, ยาที่อาจรบกวนการสร้างภูมิคุ้มกันของวัคซีนโควิด-19, ยาที่อาจได้รับผลกระทบจากวัคซีนโควิด-19 และข้อพึงระวังเกี่ยวกับการใช้ยาก่อนและหลังได้รับวัคซีนโควิด-19


การสร้างภูมิคุ้มกันของวัคซีน

วัคซีนเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีส่วนประกอบของสารก่อภูมิต้านทานหรือแอนติเจน (antigen) เมื่อให้เข้าสู่ร่างกายจะกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคคล้ายกับการได้รับเชื้อโรคที่สัมพันธ์กับชนิดที่ใช้ในการผลิตวัคซีน เป็นการสร้างภูมิคุ้มแบบจำเพาะ (acquired immunity หรือ adaptive immunity) มีทั้งภูมิคุ้มกันชนิดสารน้ำหรือแอนติบอดี (humoral immunity หรือ antibody-mediated immunity) ซึ่งอาศัยการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดบี-ลิมไฟไซต์ (B lymphocyte หรือ B cell) และภูมิคุ้มกันชนิดพึ่งเซลล์ (cellular immunity หรือ cell-mediated immunity) ซึ่งอาศัยการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดที-ลิมไฟไซต์ (T lymphocyte หรือ T cell) วัคซีนโควิด-19 ที่มีแพลตฟอร์ต่างกัน (เช่น ชนิดไวรัสเชื้อตาย, ชนิดที่มีอะดีโนไวรัสเป็นพาหะ, ชนิดเอ็มอาร์เอนเอ) มีการกลไกการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกัน ทำให้การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันมีความแตกต่างกันได้บ้าง

การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันมีความซับซ้อนมาก ไซโตไคน์มีบทบาทในการกระตุ้นการเจริญของบี-ลิมไฟไซต์และที-ลิมไฟไซต์ และการทำหน้าที่ของเซลล์กลืนกินสิ่งแปลกปลอม (phagocyte) ที่ช่วยกำจัดเชื้อโรค ไซโตไคน์เป็นสารที่สร้างและหลั่งโดยเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากมีบทบาทในระบบภูมิคุ้มกันแล้วยังมีบทบาทด้านอื่นรวมถึงการเกิดโรคหลายชนิดที่มีการอักเสบของเนื้อเยื่อ ตัวอย่างไซโตไคน์ เช่น อินเตอร์เฟียรอน-แกมมา (interferon-gamma หรือ IFN-

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://healthydee.moph.go.th